
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก gs.columbia.edu, turn-uppatch.blogspot.com, journalnow.com, m.tedxuf.com, cala.arizona.edu
เคยรู้สึกยอมแพ้ในการเรียน เพราะเรียนไม่ทันเพื่อน หรือมีร่างกายที่ไม่เอื้อต่อการเรียนในห้องเรียนหรือไม่ ถ้าหากคำตอบคือใช่ ลองไปชมเรื่องราวของบุคคลทั้ง 5 นี้ แล้วเราจะรู้ว่า ไม่มีคำว่าอุปสรรคสำหรับการเรียนของเราหรอก
คงมีหลายครั้งที่เราเคยได้ประจักษ์แล้วกับตัวอย่างของคำว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเรียนรู้ จากบุคคลต่าง ๆ ที่ไม่ว่าอายุหรืออุปสรรคทางร่างกาย ก็ล้วนไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเรียนรู้สำหรับพวกเขาทั้งนั้น ตราบใดที่ยังมีความมุ่งมั่น ใฝ่ศึกษาอยู่ภายในหัวใจ และในวันนี้ กระปุกดอทคอมขอยกเรื่องราวสุดพิเศษจากนิตยสาร Reader\'s Digest ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของบุคคลพิเศษผู้ประสบความสำเร็จทั้ง 5 คนที่ความแข็งแกร่งไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคของพวกเขา จะเป็นยิ่งกว่าแรงบันดาลใจ และตัวอย่างแห่งความใฝ่รู้อันยิ่งใหญ่ให้แก่เราทุก ๆ คน มาให้ได้ชมกันค่ะ


ในตอนที่ ไบรอัน คลอฟเอจ ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศบัลลาดในอิรักเป็นเวลา 2 สัปดาห์นั้น แรงระเบิดจากจรวดของฝ่ายศัตรูทำลายขาและแขนของเขาไป ทั้งยังทำให้ไบรอันแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ในอีก 1 ปีถัดมาหลังจากผ่านการผ่าตัดถึง 16 ครั้ง ไบรอันก็ออกจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด ก่อนที่อีก 3 ปีถัดมา ไบรอันที่มีแขนขวาเทียม และขาเทียมอีก 2 ข้าง จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมการแข่งขัน ในวิทยาลัยสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยอาริโซน่า
ทั้งนี้ ไบรอันซึ่งกำลังจะจบการศึกษาในปี ค.ศ. 2014 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.8 เผยว่า เขาหวังจะนำความรู้ความสามารถไปใช้ในการปฏิวัติสถาปัตยกรรมทางการทหาร แม้ว่าเขาจะเสียขาไปแล้ว แต่เขายังมีสมอง ซึ่งมันทำให้เขาสามารถทำทุก ๆ สิ่งที่ใจของเขาคิดจะทำได้

แกค ฟิลิปาจ เป็นชาวยูโกสลาเวียซึ่งอพยพเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 และทำงานเป็นภารโรงอยู่ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ของวิทยาเขตนิวยอร์กซิตี้ สหรัฐฯ มานานเกือบ 20 ปีแล้ว ซึ่งแม้ว่าแกคจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในช่วงเวลา 20.30-23.00 น. แต่เขาก็ยังกระตือรือร้นที่จะเข้าไปนั่งเรียนร่วมกับนักศึกษาคนอื่น ๆ ในชั้นเรียนเทอมละ 1-2 วิชา เสมอ
จนในที่สุด เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 แกคในวัย 52 ปี ก็สามารถจบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีมาได้ด้วยคะแนนเกียรตินิยม ซึ่งแกคได้เผยว่า ตอนนี้เขาได้เติมเต็มความฝันครึ่งหนึ่งของเขาแล้ว และเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือการเรียนต่อจนจบชั้นปริญญาโท ซึ่งเขาก็วางแผนที่จะเริ่มอ่านหนังสือสอบในเร็ว ๆ นี้แล้ว


แม้ว่า มาร์ธา เมสัน จะประสบกับโรคโปลิโอจนกลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ตอนที่เธอมีอายุเพียงแค่ 11 ปี ทำให้ในแต่ละวันเธอต้องใช้เวลาถึง 23 ชั่วโมงเพื่อนอนนิ่ง ๆ อยู่ภายในท่อ พร้อมกับปอดเหล็กของเธอ แต่สภาพทางร่างกายของเธอก็ไม่ได้บั่นทอนหัวใจที่กระหายความรู้ของเธอไปได้เลย ทั้งนี้ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีการสื่อสารที่เชื่อมต่อมาร์ธากับห้องเรียนในโรงเรียน ทำให้เธอกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในชั้นเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ ตั้งแต่ระดับมัธยมตลอดจนชั้นเรียนภาคภาษาอังกฤษในวิทยาลัยเวคฟอเรสท์ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งและจิตใจที่มุ่งแสวงหาความรู้ ทำให้ มาร์ธาได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนนักเรียนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย และเธอก็สามารถคว้าปริญญาตรีมาได้ทั้ง 2 ใบด้วยคะแนนระดับท็อปทั้งคู่
มาร์ธาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 2009 หลังจากที่ใช้ชีวิตด้วยปอดเหล็กนานถึง 60 ปี ทั้งนี้ มาร์ธาได้กล่าวไว้ในสารคดีชีวประวัติของเธอที่ชื่อ มาร์ธา แห่ง เลทติมอร์ ว่า "บางสิ่งเกิดขึ้นกับเราทุก ๆ คนเสมอ ซึ่งแม้ว่าฉันจะมองเห็นได้ชัดเจนกว่าพวกคุณ แต่พวกคุณก็ต้องจัดการกับเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณเช่นกัน ไม่มีใครในกลุ่มพวกเราที่จะได้รับการยกเว้นจากสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้เรากลายเป็นคนพิเศษได้ หากโลกได้รับรู้เรื่องราวของเรา"


ในตอนที่ จาคอบ เอเทม อายุ 6 ขวบ ครอบครัวของเขาถูกสังหารจนหมดในสงครามกลางเมืองของซูดาน จากนั้นจาคอบก็ต้องใช้ชีวิตไปในการผจญภัยอันแสนเจ็บปวดตลอดระยะเวลา 9 ปีเต็ม ด้วยการเดินเท้าเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตรจากซูดานไปเอธิโอเปีย พร้อมกับค่ายผู้อพยพชาวแอฟริกันตะวันออก
และในที่สุด จาคอบก็ได้รับเลือกจากโครงการที่จะนำเด็กกำพร้าผู้หลงทางเช่นเขาไปยังสหรัฐฯ ซึ่งในตอนนั้นจาคอบยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสหรัฐฯ นั้นตั้งอยู่ที่ใดบนโลก แต่แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้ จาคอบมีความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษ และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย สปริง อาร์เบอร์ ในรัฐมิชิแกน จากนั้นในปี ค.ศ. 2008 เมื่อจาคอบได้ก่อตั้งองค์กรเซาท์เธิร์น ซูดาน เฮลท์แคร์ ขึ้น เขาก็เริ่มศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก สาขาบริการด้านสุขภาพที่มหาวิทยาลัยฟลอริดา เพื่อหวังจะฝึกฝนตัวเองที่ยังขาดประสบการณ์ในด้านการรักษา ให้มีความชำนาญพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแบบอย่างให้กับคนทั้งซูดาน
ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 จาคอบก็ได้เปิดคลินิกแห่งแรกใน มาร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของซูดาน โดยจาคอบเผยว่า "การดูแลเรื่องสุขภาพนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับหมู่บ้าน เพราะว่าที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กคนอื่น ๆ ทีเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกับเขา"


แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว เหล่านักศึกษาจะใช้เวลาประมาณ 4 ปีครึ่ง ในการหาความรู้อยู่ภายในมหาวิทยาลัย แต่สำหรับ โนลา ออชส์ เธอต้องใช้เวลานานถึง 77 ปี ภายในรั้วมหาวิทยาลัยรัฐฟอร์ทเฮย์ส แคนซัส สหรัฐฯ เพื่อที่จะได้รับปริญญาบัตรใบแรกในตอนที่เธอมีอายุ 95 ปี
และจากความชอบที่จะเรียนรู้ของคุณยายโนลา ทำให้ในอีก 3 ปีต่อมา เมื่อ ค.ศ.2010 คุณยายโนลาวัย 98 ปี ก็สามารถผ่านพ้นการสอบปลายภาค รวมทั้งการทำวิทยานิพนธ์จำนวน 50 หน้า จนมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการขออนุมัติปริญญาโทได้ในที่สุด
ดังที่เราจะเห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะด้วยอุปสรรคทั้งจากร่างกาย อายุ หรือแม้แต่ความสามารถในการเรียนรู้ที่แตกต่าง ก็ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งขวางผู้ที่ใฝ่รู้จากความสำเร็จของพวกเขาได้ แม้ว่าบางคนอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นก็ตาม แต่หากเขามีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแล้ว พวกเขาก็จะสามารถประสบความสำเร็จจนได้ในที่สุด