ผลสำรวจพาอึ้ง พบเด็กมัธยมฯ เห็นการพนันเป็นเรื่องชินตา ซึมซับจากคนในบ้าน เชื่อเล่นแล้วทำให้ฐานะดีขึ้น ติดไพ่มากที่สุด เข้าใจผิดว่าการส่ง SMS ชิงโชค ไม่ใช่การพนัน
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2558 นายเสกสรร เย็นสุหัส ครูที่ปรึกษาชมรมต้นกล้าเมืองแม่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวในการประชุม "แนวทางการพัฒนากลไกการลดผลกระทบจากการพนัน" ครั้งที่ 2 โดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ว่า ปัญหาการเล่นพนันในนักเรียนชั้น ม.1-ม.6 นั้น พบว่าเป็นการเล่นพนันไพ่มากที่สุด รองลงมาคือการเล่นไฮโล หวยใต้ดิน น้ำเต้าปูปลา และพนันบอล โดยส่วนใหญ่มองว่าการเล่นพนันจะทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น
ขณะเดียวกัน นักเรียนกลุ่มดังกล่าวยังเข้าใจด้วยว่า การส่งข้อความชิงโชคทาง SMS ไม่ถือว่าเป็นการพนัน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นความเชื่อที่ผิดและอันตรายมาก สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กมีความคิดเช่นนี้เพราะเห็นพ่อแม่และคนในพื้นที่เล่นการพนันจนกลายเป็นภาพที่ชินตา และทำให้เด็กซึมซับสิ่งเหล่านี้ไป เมื่อเจอสิ่งเร้า เช่น เพื่อนชวน หรือครูไม่เข้มงวดกวดขัน ก็จะทำให้เด็กเล่นพนันจนติดเพิ่มมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องตั้งวงเล่นเหมือนสมัยก่อน เพราะสมัยนี้สามารถโหลดแอพแล้วพนันกันได้เลย ทำให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการพนันได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่ากำลังเล่นการพนันอยู่
ด้าน นางนวลฉวี บุญจันทร์ รองนายกฯอบต.คลองตัน อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร กล่าวถึงปัญหาในพื้นที่ว่า พบเด็กอายุ 12-15 ปี เล่นหวยใต้ดินมากถึง 21% ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่ากลัวมาก ขณะที่ชาวบ้านจะเล่นหวยใต้ดินเดือนละ 2 ครั้ง หากรวมเงินที่เสียไปโดยเฉลี่ยทั้งหมู่บ้าน ประมาณ 85 ครัวเรือน คิดเป็นเงินมากกว่า 15 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ นายรณวิทย์ สิมะเสถียร อุปนายกสมาคมวิทยุและสื่อ เพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) ระบุว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องการตีความในนิยามของคำว่าการพนัน ซึ่งยังไม่มีกำหนดไว้ในกฎหมาย ต่างกับที่ต่างประเทศซึ่งการพนันจะมีองค์ประกอบอยู่ 3 อย่าง คือ 1. การวางเดิมพัน การแทง 2. การเสี่ยงโชค และ 3. เงินรางวัล ถ้ากิจกรรมใดเข้าข่าย 2 องค์ประกอบนี้ถือว่าเป็นการพนัน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
