ตั้งโรงเรียนสุจริตสอนผู้บริหารไม่โกง หวังถ่ายทอดจิตสำนึกให้เด็กอีกทอดหนึ่ง/พบทุจริตเบียดบังเวลาราชการมากสุด (ไทยโพสต์)
ศธ. ตั้ง "โรงเรียนสุจริต" ดึงผู้บริหารโรงเรียน 225 แห่งเข้าอบรม หวังมาถ่ายทอดปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนอีกต่อหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญ สพฐ. ศึกษาพฤติกรรมการทุจริตที่พบมากที่สุดคือ การเบียดบังเวลาราชการเพื่องานอื่น ส่วนปัจจัยการทุจริตคือความโลภของคน
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่โรงเรียนนวมินทราชูทิศ นางพจมาน พงษ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวภายหลังการเปิดงานผลการศึกษา "แนวทางการแก้ไขปัญหาทุจริตในสถานศึกษาและการสร้างนักเรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี ที่ไม่คดโกง" ว่า สพฐ. ในฐานะรับผิดชอบการจัดการศึกษาและสร้างเยาวชนของชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาทุจริตและเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน จึงได้ดำเนินการโครงการ "โรงเรียนสุจริต" โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาจากโรงเรียนนำร่องทุกภาค จำนวน 225 โรงเรียน เข้าร่วมการอบรมในหลักสูตรจิตวิทยาความมั่นคงสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา รุ่นที่ 1 ในการพัฒนาสถานศึกษาที่ส่งเสริมการป้องกันการทุจริต และปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรมของชาติ
"ไม่มีโรงเรียนใดสอนให้เด็กเป็นคนไม่ดี หากแต่เด็กเห็นพฤติกรรมไม่ดีเหล่านั้นและซึมซับมา ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ควรประพฤติตนเป็นต้นแบบที่ดี และสร้างสิ่งแวดล้อมของความถูกต้องให้เด็กเคยชิน หากคนเราเคารพในกฎกติกาแล้ว ประเทศชาติก็จะมั่งคงมากขึ้น" นางพจมานกล่าว
นางสาวรุ่งนภา นุตราวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญ สพฐ. และผู้เข้าร่วมหลักสูตรจิตวิทยาความมั่นคงสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา รุ่นที่ 1 เปิดเผยผลการศึกษาว่า ร้อยละ 53.08 เคยพบเห็นการทุจริตในสถานศึกษา พฤติกรรมการทุจริตที่พบเห็นมากที่สุดคือ การเบียดบังเวลาราชการเพื่องานอื่น รองลงมาคือ การใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน การเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง การแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ และประพฤติมิชอบในการจัดซื้อจัดจ้าง ตามลำดับ ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายคือ ควรมีการจัดทำแผนพัฒนาเสริมสร้างความซื่อสัตย์แก่บุคลากรทางการศึกษาให้เป็นวาระแห่งชาติ ส่งเสริมให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานในระบบการศึกษา กำหนดหลักเกณฑ์ในการสรรหาบุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง และการประเมินความดีความชอบของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน หรือบุคลากรทางการศึกษาต่าง ๆ บนพื้นฐานคุณธรรมจริยธรรม และให้มีน้ำหนักความสำคัญเท่าเทียมกับความรู้ความสามารถด้านการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ รายงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบแห่งชาติ ช่วงปี พ.ศ.2543-2548 พบว่ามีการกล่าวหาร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่กระทำการทุจริตเกือบทุกกระทรวง โดยกระทรวงมหาดไทยถูกกล่าวหามากที่สุดถึง 9,317 เรื่อง ตามด้วยกระทรวงศึกษาธิการ 1,387 เรื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับปัจจัยของการทุจริตและประพฤติมิชอบในสถานศึกษา พบว่าความโลภเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด รองลงมาคือ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี ผู้นำขาดคุณธรรมจริยธรรม ความทะเยอทะยาน และการถูกบีบบังคับ ตามลำดับ
นอกจา่กนี้ การวิจัยศึกษาพบอีกว่า การเสริมสร้างจิตสำนึกและค่านิยมในความซื่อสัตย์สุจริตเป็นแนวทางที่มีระดับความสำเร็จสูงสุดในการแก้ไขปัญหาการทุจริตในสถานศึกษา 57.14 มีความพึงพอใจเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตในสถานศึกษาในระดับมาก 40.14 มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง และ 2.72 มีความพึงพอใจน้อย ปัจจัยสำคัญที่สุดในการเสริมสร้างความซื่อสัตย์ของนักเรียนคือ การเลี้ยงดูของครอบครัว รองลงมาคือ การเรียนการสอน การศึกษาดังกล่าวเป็นการศึกษาเชิงปริมาณใน 45 โรงเรียน โดยการส่งแบบสอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารโรงเรียน 45 คน ครูผู้สอน 90 คน นักเรียน 90 คน นักวิชาการ 15 คน รวมทั้งสิ้น 330 คน ได้รับแบบสอบถามกลับคืนมา 294 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 89.09
ขอขอบคุณข้อมูลจาก