การเขียนโครงงานภาษาไทย หรือ การเขียนรายงานโครงงานภาษาไทย เป็นการนำเสนอผลของการศึกษาในรูปแบบของการเขียนรายงาน
ทั้งนี้ ในการเขียนโครงงานต้องแสดงให้เห็นขั้นตอนวิธีการทำโครงงาน ผลของการศึกษา ตลอดจนการสรุปผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำการศึกษาด้วย
ชื่อโครงงานต้องเป็นชื่อที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน และยังต้องเป็นชื่อที่เรียกความสนใจจากผู้อ่านได้เป็นอย่างดีด้วย
การเขียนชื่อผู้รับผิดชอบโครงงาน ควรมีการระบุให้ชัดเจนว่ามีใครบ้าง และแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนใดบ้างของการทำโครงงาน
การเขียนชื่อผู้ให้คำปรึกษาควรให้เกียรติยกย่องและเผยแพร่ รวมทั้งขอบคุณที่ได้ให้คำแนะนำการทำโครงงานจนบรรลุเป้าหมาย
การเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงาน คือ การอธิบายให้กระจ่างชัดว่าทำไม ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร หากไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไร ซึ่งมีหลักการเขียนคล้ายการเขียนเรียงความ ทั่ว ๆ ไป คือ มีคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
วัตถุประสงค์ คือ การกำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการให้เกิดจากการทำโครงงาน ในการเขียนวัตถุประสงค์ ต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับชื่อโครงงาน หากมีวัตถุประสงค์หลายประเด็น ให้ระบุเป็นข้อ ๆ ทั้งนี้ การเขียนวัตถุประสงค์มีความสำคัญต่อแนวทาง การศึกษา ตลอดจนข้อความรู้ที่ค้นพบต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทุก ๆ ข้อ
ต้องสามารถบอกผู้อ่านโครงงานได้ว่า การทำโครงงานนี้ช่วยให้ได้ประโยชน์อะไรบ้าง อาทิ เป็นการเสริมสร้างความรู้ในด้านใดให้มีมากขึ้นหรือไม่ นำผลที่ได้ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง เกิดประโยชน์กับผู้ทำโครงงานอย่างไร เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างไร เป็นต้น
สมมติฐานของการศึกษา เป็นสิ่งที่ผู้ทำโครงงานต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เป็นการกำหนดแนวทางในการออกแบบการทดลองได้ชัดเจนและรอบคอบ ซึ่งสมมติฐานก็คือ การคาดคะเนคำตอบของปัญหาอย่างมีหลักและเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำมาแล้ว
ผู้ทำโครงงานต้องกำหนดขอบเขตการทำโครงงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การกำหนดเรื่องที่ต้องการศึกษา ระยะเวลาในการศึกษา และวิธีที่จะใช้ในการศึกษา
วิธีดำเนินการ คือ วิธีการที่ช่วยให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน ตั้งแต่เริ่มเสนอโครงการกระทั่งสิ้นสุดโครงการ
เป็นการระบุสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการศึกษาตามโครงงาน อาทิ อุปกรณ์ในการทำโครงการ หนังสือที่ต้องใช้ประกอบการอ้างอิงข้อมูล หรือแหล่งค้นคว้าอื่น ๆ เพื่อให้โครงงานบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
นำเสนอข้อมูลหรือผลการทดลองต่าง ๆ ที่สังเกตรวบรวมได้ รวมทั้งเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ด้วย
อธิบายผลสรุปที่ได้จากการทำโครงงาน ถ้ามีการตั้งสมมติฐาน ควรระบุด้วยว่าข้อมูลที่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านสมติฐานที่ตั้งไว้ หรือยังสรุปไม่ได้ นอกจากนี้ยังควรกล่าวถึงการนำผลการทดลองไปใช้ประโยชน์ อุปสรรคของการทำโครงงานหรือข้อสังเกตที่สำคัญหรือข้อผิดพลาดบางประการที่ เกิดขึ้นจากการทำโครงงานนี้ รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข หากมีผู้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ทำนองนี้ต่อไปในอนาคตด้วย
ในการประเภทของโครงงานภาษาไทย สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
เป็นโครงงานเบื้องต้นที่นักเรียนควรเริ่มลงมือทำเพราะง่าย เพียงแค่ทำการรวบรวมข้อมมูลที่มีอยู่ และนำมาจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ ก่อนทำการนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ศึกษาชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับตัวอย่างโครงงานประเภทการสำรวจและรวบรวมข้อมูล มีดังนี้
- การสำรวจคำที่มี ร, ล, ว ควบกล้ำในหนังสือ
- การสำรวจคำย่อในหนังสือพิมพ์
- การสำรวจคำแสลง คำสมัยนิยม ในหนังสือพิมพ์
มีขั้นตอนการทำศึกษาโครงงานประเภทนี้คล้ายกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่จำเป็นต้องมีการกำหนดปัญหาที่จะศึกษ วัตถุประสงค์ การตั้งสมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า การออกแบบการทดลอง เป็นต้น สำหรับตัวอย่างโครงงานภาษาไทยประเภทการทดลอง มีดังนี้
- ทดลองออกเสียงคำควบกล้ำ
- ทดลองอ่านออกเสียงคำที่มีตัวการันต์
- การศึกษาความจำจากการฟัง
สำหรับวิชาภาษาไทยสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ได้มากมาย เช่น การประดิษฐ์โคลงกลอน ประดิษฐ์บทละครและอื่น ๆ มากมาย โดยการปรับปรุงจากสิ่งที่มีอยู่เดิม เปลี่ยนตัวแปรบางตัวเสียใหม่ให้ต่างจากของเดิม ก็จะเป็นโครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ทั้งสิ้น ตัวอย่างโครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ อาทิ
- การประดิษฐ์เกมภาษาไทย
- การประดิษฐ์แผนผังบทร้อยกรองแบบใหม่
- การประดิษฐ์สื่อที่ใช้ในการเรียนภาษาไทย
เป็นโครงงานที่นักเรียนต้องทำการนำเสนอหลักการ หรือแนวความคิดใหม่ ๆ โดยใช้แนวความคิดหรือการจินตนาการของผู้ทำโครงงาน เพื่ออธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ที่ยังไม่มีผู้ใดคิดมาก่อน หรืออธิบายทฤษฎีที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเดิมที่มีอยู่ในวิชาภาษาไทย อาจเป็นการเสนอทฤษฎีหรือหลัการขึ้นมาสนับสนุน หรือขัดแย้งกับแนวความคิดเดิม ๆ เช่น นักเรียนเสนอโครงงานประเภททฤษฎีขึ้นมาว่าท่านสุนทรภู่ไม่ดื่มเหล้า โดยนำทฤษฎีหรือหลักการมาสนับสนุนการวิเคราะห์ว่า หากท่านดื่มเหล้าเป็นคนเมามาย คงไม่สามารถแต่งบทประพันธ์ได้จำนวนมากมายดังที่ทราบ แต่ที่เห็นพฤติกรรมว่าเมานั้นอาจเป็นการเข้าใจผิดของชาวบ้านทั่วไปก็ได้
โครงงานประเภททฤษฎี เป็นการนำเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์มาอ้าง อาจถูกหรือผิดก็ได้ แต่เป็นไปตามทฤษฎีหรือหลักการ ในวิชาภาษาไทยมีเนื้อหามากมายที่นักเรียนสามารถคิดขึ้นมาในแง่ทฤษฎีได้ เพียงแต่ครูที่ปรึกษา จะยอมรับความคิดเห็นของนักเรียนหรือไม่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
muslimthaipost.com , chula.ac.th
ทั้งนี้ ในการเขียนโครงงานต้องแสดงให้เห็นขั้นตอนวิธีการทำโครงงาน ผลของการศึกษา ตลอดจนการสรุปผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำการศึกษาด้วย
การเขียนรายงานโครงงานภาษาไทย มีหลักการเขียนโครงงาน ดังนี้
1. ชื่อโครงงาน
ชื่อโครงงานต้องเป็นชื่อที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน และยังต้องเป็นชื่อที่เรียกความสนใจจากผู้อ่านได้เป็นอย่างดีด้วย
2. ชื่อผู้จัดทำโครงงาน
การเขียนชื่อผู้รับผิดชอบโครงงาน ควรมีการระบุให้ชัดเจนว่ามีใครบ้าง และแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนใดบ้างของการทำโครงงาน
3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน
การเขียนชื่อผู้ให้คำปรึกษาควรให้เกียรติยกย่องและเผยแพร่ รวมทั้งขอบคุณที่ได้ให้คำแนะนำการทำโครงงานจนบรรลุเป้าหมาย
4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
การเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงาน คือ การอธิบายให้กระจ่างชัดว่าทำไม ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร หากไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไร ซึ่งมีหลักการเขียนคล้ายการเขียนเรียงความ ทั่ว ๆ ไป คือ มีคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
5. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน
วัตถุประสงค์ คือ การกำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการให้เกิดจากการทำโครงงาน ในการเขียนวัตถุประสงค์ ต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับชื่อโครงงาน หากมีวัตถุประสงค์หลายประเด็น ให้ระบุเป็นข้อ ๆ ทั้งนี้ การเขียนวัตถุประสงค์มีความสำคัญต่อแนวทาง การศึกษา ตลอดจนข้อความรู้ที่ค้นพบต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทุก ๆ ข้อ
6. ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำโครงงาน
ต้องสามารถบอกผู้อ่านโครงงานได้ว่า การทำโครงงานนี้ช่วยให้ได้ประโยชน์อะไรบ้าง อาทิ เป็นการเสริมสร้างความรู้ในด้านใดให้มีมากขึ้นหรือไม่ นำผลที่ได้ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง เกิดประโยชน์กับผู้ทำโครงงานอย่างไร เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างไร เป็นต้น
7. สมมติฐานของการศึกษาโครงงาน
สมมติฐานของการศึกษา เป็นสิ่งที่ผู้ทำโครงงานต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เป็นการกำหนดแนวทางในการออกแบบการทดลองได้ชัดเจนและรอบคอบ ซึ่งสมมติฐานก็คือ การคาดคะเนคำตอบของปัญหาอย่างมีหลักและเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำมาแล้ว
8. ขอบเขตของการทำโครงงาน
ผู้ทำโครงงานต้องกำหนดขอบเขตการทำโครงงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การกำหนดเรื่องที่ต้องการศึกษา ระยะเวลาในการศึกษา และวิธีที่จะใช้ในการศึกษา
9. วิธีดำเนินการโครงงาน
วิธีดำเนินการ คือ วิธีการที่ช่วยให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน ตั้งแต่เริ่มเสนอโครงการกระทั่งสิ้นสุดโครงการ
10. วัสดุและอุปกรณ์
เป็นการระบุสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการศึกษาตามโครงงาน อาทิ อุปกรณ์ในการทำโครงการ หนังสือที่ต้องใช้ประกอบการอ้างอิงข้อมูล หรือแหล่งค้นคว้าอื่น ๆ เพื่อให้โครงงานบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
11. ผลการศึกษาค้นคว้า
นำเสนอข้อมูลหรือผลการทดลองต่าง ๆ ที่สังเกตรวบรวมได้ รวมทั้งเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ด้วย
12. สรุปผลและข้อเสนอแนะ
อธิบายผลสรุปที่ได้จากการทำโครงงาน ถ้ามีการตั้งสมมติฐาน ควรระบุด้วยว่าข้อมูลที่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านสมติฐานที่ตั้งไว้ หรือยังสรุปไม่ได้ นอกจากนี้ยังควรกล่าวถึงการนำผลการทดลองไปใช้ประโยชน์ อุปสรรคของการทำโครงงานหรือข้อสังเกตที่สำคัญหรือข้อผิดพลาดบางประการที่ เกิดขึ้นจากการทำโครงงานนี้ รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข หากมีผู้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ทำนองนี้ต่อไปในอนาคตด้วย
ประเภทของโครงงานภาษาไทย
ในการประเภทของโครงงานภาษาไทย สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. โครงงานภาษาไทยประเภทการสำรวจและรวบรวมข้อมูล
เป็นโครงงานเบื้องต้นที่นักเรียนควรเริ่มลงมือทำเพราะง่าย เพียงแค่ทำการรวบรวมข้อมมูลที่มีอยู่ และนำมาจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ ก่อนทำการนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ศึกษาชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับตัวอย่างโครงงานประเภทการสำรวจและรวบรวมข้อมูล มีดังนี้
- การสำรวจคำที่มี ร, ล, ว ควบกล้ำในหนังสือ
- การสำรวจคำย่อในหนังสือพิมพ์
- การสำรวจคำแสลง คำสมัยนิยม ในหนังสือพิมพ์
2. โครงงานภาษาไทยประเภทการทดลอง
มีขั้นตอนการทำศึกษาโครงงานประเภทนี้คล้ายกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่จำเป็นต้องมีการกำหนดปัญหาที่จะศึกษ วัตถุประสงค์ การตั้งสมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า การออกแบบการทดลอง เป็นต้น สำหรับตัวอย่างโครงงานภาษาไทยประเภทการทดลอง มีดังนี้
- ทดลองออกเสียงคำควบกล้ำ
- ทดลองอ่านออกเสียงคำที่มีตัวการันต์
- การศึกษาความจำจากการฟัง
3. โครงงานภาษาไทยประเภทสิ่งประดิษฐ์
สำหรับวิชาภาษาไทยสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ได้มากมาย เช่น การประดิษฐ์โคลงกลอน ประดิษฐ์บทละครและอื่น ๆ มากมาย โดยการปรับปรุงจากสิ่งที่มีอยู่เดิม เปลี่ยนตัวแปรบางตัวเสียใหม่ให้ต่างจากของเดิม ก็จะเป็นโครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ทั้งสิ้น ตัวอย่างโครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ อาทิ
- การประดิษฐ์เกมภาษาไทย
- การประดิษฐ์แผนผังบทร้อยกรองแบบใหม่
- การประดิษฐ์สื่อที่ใช้ในการเรียนภาษาไทย
4. โครงงานภาษาไทยประเภททฤษฎี
เป็นโครงงานที่นักเรียนต้องทำการนำเสนอหลักการ หรือแนวความคิดใหม่ ๆ โดยใช้แนวความคิดหรือการจินตนาการของผู้ทำโครงงาน เพื่ออธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ที่ยังไม่มีผู้ใดคิดมาก่อน หรืออธิบายทฤษฎีที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเดิมที่มีอยู่ในวิชาภาษาไทย อาจเป็นการเสนอทฤษฎีหรือหลัการขึ้นมาสนับสนุน หรือขัดแย้งกับแนวความคิดเดิม ๆ เช่น นักเรียนเสนอโครงงานประเภททฤษฎีขึ้นมาว่าท่านสุนทรภู่ไม่ดื่มเหล้า โดยนำทฤษฎีหรือหลักการมาสนับสนุนการวิเคราะห์ว่า หากท่านดื่มเหล้าเป็นคนเมามาย คงไม่สามารถแต่งบทประพันธ์ได้จำนวนมากมายดังที่ทราบ แต่ที่เห็นพฤติกรรมว่าเมานั้นอาจเป็นการเข้าใจผิดของชาวบ้านทั่วไปก็ได้
โครงงานประเภททฤษฎี เป็นการนำเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์มาอ้าง อาจถูกหรือผิดก็ได้ แต่เป็นไปตามทฤษฎีหรือหลักการ ในวิชาภาษาไทยมีเนื้อหามากมายที่นักเรียนสามารถคิดขึ้นมาในแง่ทฤษฎีได้ เพียงแต่ครูที่ปรึกษา จะยอมรับความคิดเห็นของนักเรียนหรือไม่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
muslimthaipost.com , chula.ac.th