เปิดที่มาของนาฏศิลป์ไทย ศิลปะคู่แผ่นดินที่งดงามไม่เสื่อมคลาย

          เปิดที่มานาฏศิลป์ไทยประวัติเป็นมาอย่างไร พร้อมประเภท รูปแบบ และองค์ประกอบของนาฏศิลป์ จะน่าสนใจแค่ไหนรวมไว้ในบทความนี้แล้ว
          ถ้าพูดถึงนาฏศิลป์ไทย หลายคนอาจนึกถึงท่ารำที่ดูช้า ๆ ชุดจัดเต็ม หรือการแสดงในงานโรงเรียน แต่รู้ไหมว่านาฏศิลป์ไทยไม่ได้เชยอย่างที่คิด มันคือศิลปะที่รวมเอาความสวยงาม ดนตรี และเรื่องเล่าทางวัฒนธรรมไว้ในท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่มีเสน่ห์ นาฏศิลป์ไทย” จึงไม่ได้มีดีแค่ความสวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวและวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย
นาฏศิลป์ไทย

ประวัติที่มาของนาฏศิลป์ไทย 

ความหมายของนาฏศิลป์ไทย

          นาฏศิลป์ คือ ศิลปะแห่งการแสดงละคร การฟ้อนรำ และดนตรี ซึ่งมีรากฐานจากคัมภีร์นาฏะ หรือนาฏยะ ที่กำหนดไว้ว่าต้องประกอบด้วยศิลปะ 3 ประการ ได้แก่ การฟ้อนรำ ดนตรี และการขับร้อง ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้ถือเป็นอุปนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
          ศิลปะการฟ้อนรำ หรือความรู้และแบบแผนของการร่ายรำ เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตงดงาม เพื่อให้ความบันเทิงและโน้มน้าวอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมให้เกิดการคล้อยตาม
          ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรีและการขับร้องประกอบ เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศและเพิ่มคุณค่าให้การแสดงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จนสามารถเรียกรวมได้ว่าเป็น “ศิลปะแห่งการร้องรำทำเพลง

ที่มาของนาฏศิลป์ไทย

          นาฏศิลป์ไทย มีที่มาและวิวัฒนาการจากหลากหลายแนวคิด เช่น การแสดงออกทางอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นท่าทางธรรมชาติ อากัปกิริยาต่าง ๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นพื้นฐานให้ปรมาจารย์ด้านศิลปะนำมาพัฒนา กำหนดสัดส่วน และวางรูปแบบวิธีการอย่างเป็นระบบ จนเกิดเป็นท่าฟ้อนรำที่มีลีลาสวยงาม
          การจัดวางท่าทางของมือ เท้า การเยื้องย่าง การยัก และการกล่อมตัว ล้วนถูกปรับแต่งให้สัมพันธ์สอดคล้องกันอย่างประณีต ส่งผลให้เกิดเป็นท่ารำที่มีความอ่อนช้อย วิจิตรพิสดาร และได้รับการยกระดับจนกลายเป็นศิลปะอย่างแท้จริง

ต้นกำเนิดและอิทธิพลจากต่างชาติ

          บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฏศิลป์ที่มาจากอินเดียนี้ได้แพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยในปี พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการก่อตั้งกรุงสุโขทัย มีหลักฐานจากการสร้างเทวาลัยศิวะนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของ พระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส อินเดียใต้ 
          การฟ้อนรำแบบไทยในยุคแรกจึงเชื่อว่าดัดแปลงมาจากศิลปะอินเดีย โดยผ่านการตีความของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงมีการปรับปรุงและประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่อย่างเป็นระบบ จนกลายมาเป็นรูปแบบท่าทางการร่ายรำและละครไทยที่เห็นในปัจจุบัน
นาฏศิลป์ไทย

ประเภทของนาฏศิลป์ไทยมีอะไรบ้าง

          นาฏศิลป์ไทย สามารถแบ่งออกตามลักษณะของรูปแบบการแสดงได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

โขน

          โขนไทย เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น คือ ผู้แสดงต้องสวมหัวโขน และใช้ท่าทางร่ายรำประกอบบทพากย์ การเจรจาของผู้พากย์ และทำนองเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ เรื่องที่นิยมแสดงคือ รามเกียรติ์ โดยผู้แสดงจะแต่งกายเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ เรียกว่า ยืนเครื่อง การแสดงมีแบบแผนชัดเจน และมักจัดในพิธีสำคัญ เช่น งานพระราชพิธี

ละคร

          ละคร เป็นการร่ายรำที่ดำเนินเรื่องเป็นเรื่องราว มีพัฒนาการจากการเล่านิทาน มีทั้งการร้อง ท่ารำ และเพลงหน้าพาทย์ ประกอบด้วยวงปี่พาทย์ แบ่งได้เป็น ละครโนราชาตรี ละครนอก และละครใน เรื่องที่นิยม เช่น พระสุธน, สังข์ทอง, คาวี, อิเหนา, อุณรุท เป็นต้น การแต่งกายใช้แบบยืนเครื่องเช่นเดียวกับโขน นิยมแสดงในงานพิธีสำคัญและงานในราชสำนัก

รำและระบำ

          รำและระบำไทย เป็นการร่ายรำประกอบดนตรีและบทขับร้องโดยไม่ดำเนินเรื่อง มีความแตกต่างกันดังนี้
          รำ
          รำ หมายถึง การร่ายรำที่มีผู้แสดงตั้งแต่ 1-2 คน เช่น รำเดี่ยว รำคู่ รำอาวุธ ลักษณะท่ารำมีความต่อเนื่องและเฉพาะตัว เช่น รำเพลงช้าเพลงเร็ว, รำแม่บท, รำเมขลา-รามสูร เป็นต้น
          ระบำ
          ระบำ หมายถึง การรำที่มีผู้แสดงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีท่ารำและการแต่งกายคล้ายคลึงกัน เช่น ระบำสี่บท, ระบำกฤดาภินิหาร, ระบำฉิ่ง มักบรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ และแต่งกายแบบนางในราชสำนัก

การแสดงพื้นเมือง

          เป็นศิลปะการร่ายรำหรือการละเล่นที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละภูมิภาค แบ่งเป็น 4 ภาค ได้แก่
ภาคเหนือ
          สำหรับการแสดงภาคเหนือนิยมเรียกการแสดงว่า “ฟ้อน” เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนสาวไหม ลักษณะเด่นคือ ท่ารำอ่อนช้อย แต่งกายด้วยผ้าพื้นเมือง มีเครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น สะล้อ ซอ ซึง กลองแอว
ภาคกลาง
          ในส่วนของภาคกลางจะเป็นการสะท้อนวิถีชีวิตชาวนา เช่น เพลงเกี่ยวข้าว เต้นกำรำเคียว รำโทน รำวง ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองยาว กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ
ภาคอีสาน
          สำหรับภาคอีสานแบ่งเป็น 2 วัฒนธรรม ดังนี้
  • อีสานเหนือ เช่น เซิ้งบั้งไฟ ฟ้อนภูไท ลำเต้ย ใช้แคน พิณ ซอ โปงลาง
  • อีสานใต้ เช่น เรือมลูดอันเร รำกระทบสาก รำอาไย ใช้วงมโหรีอีสานใต้ เช่น ซอด้วง กลองกันตรึม ปี่สไล
ภาคใต้
          ภาคใต้ก็เช่นกัน มีการแบ่งเป็น 2 กลุ่มวัฒนธรรม ดังนี้
  • ไทยพุทธ เช่น โนรา หนังตะลุง เพลงบอก
  • ไทยมุสลิม เช่น รองเง็ง ซัมเปง ลิเกฮูลู ซิละ
          เครื่องดนตรีที่ใช้ เช่น กลองโนรา ปี่กาหลอ ไวโอลิน และแอคคอร์เดียน นอกจากนี้ยังมีระบำที่พัฒนาจากวิถีชีวิต เช่น ระบำร่อนแร่ ระบำกรีดยาง ปาเต๊ะ เป็นต้น
นาฏศิลป์ไทย

รูปแบบและแบบแผนการฟ้อนรำ

รูปแบบการฟ้อนรำ

          หมายถึง ลักษณะหรือประเภทของการร่ายรำที่เกิดจากวัตถุประสงค์ในการแสดง และบริบทของสังคม แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
  1. ฟ้อนรำเพื่อพิธีกรรม
          ใช้ประกอบในพิธีต่าง ๆ เช่น พิธีบวงสรวง พิธีกรรมทางศาสนา หรือพิธีในราชสำนัก เช่น
  • ฟ้อนบูชาครู 
  • ฟ้อนผีมดผีเม็ง
  • ฟ้อนในพิธีถวายพระพร
  1. ฟ้อนรำเพื่อแสดงศิลปะ
          เป็นการแสดงเพื่อความสุนทรียะ ความงาม และความบันเทิง เช่น
  • ฟ้อนเล็บ 
  • ฟ้อนเทียน
  • รำแม่บท
  • ระบำมาตรฐาน
  1. ฟ้อนรำเพื่อความสนุกสนานของชาวบ้าน
          มักเกิดขึ้นในชุมชนพื้นบ้าน หรือหลังฤดูเก็บเกี่ยว เช่น
  • เต้นกำรำเคียว
  • เซิ้งบั้งไฟ
  • รำวง
  • รองเง็ง

แบบแผนการฟ้อนรำ

          หมายถึง กฎเกณฑ์ ลำดับขั้นตอน และโครงสร้างในการแสดงที่กำหนดไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย
  1. ท่ารำแม่บท (ท่ารำหลัก)
          เป็นท่ารำพื้นฐานของนาฏศิลป์ไทย มีความสง่างาม อ่อนช้อย และได้สัดส่วน เช่น
  • ท่าจีบนิ้ว
  • ท่าประนมมือ
  • ท่าไหว้
  • ท่ายกมือ
  • ท่าย่างเท้า
  1. ลีลาการรำ
          เป็นการเชื่อมโยงท่ารำให้มีความต่อเนื่อง เช่น การเยื้องกราย การยักไหล่ การกล่อมตัว ซึ่งสะท้อนอารมณ์และจังหวะดนตรี
  1. จังหวะและทำนอง
          ต้องอาศัยการประสานกับดนตรีไทย เช่น เพลงหน้าพาทย์ หรือบทขับร้อง เพื่อกำหนดจังหวะการรำ
  1. การจัดกลุ่มผู้รำ แบ่งเป็น
  • รำเดี่ยว
  • รำคู่
  • รำหมู่ (เช่น ระบำมาตรฐาน)
          โดยแบบแผนการยืน เดิน เข้า-ออกเวที และการประสานท่ารำ จะมีการกำหนดไว้
  1. การแต่งกาย
          ต้องเหมาะสมกับประเภทของการฟ้อนรำ เช่น การแต่งกายแบบยืนเครื่องในโขนและละครใน การแต่งกายพื้นเมืองในฟ้อนพื้นบ้าน หรือการแต่งกายอย่างสร้างสรรค์ในระบำประยุกต์

องค์ประกอบของนาฏศิลป์ไทยมีอะไรบ้าง

          เป็นปัจจัยสำคัญที่รวมกันเป็นศิลปะการแสดงที่สมบูรณ์แบบ โดยองค์ประกอบหลักของนาฏศิลป์ไทยมีดังนี้

ลีลาท่าทางร่ายรำ

          เริ่มต้นด้วยลีลาท่าทางร่ายรำที่ถือเป็นหัวใจของนาฏศิลป์ไทยที่สะท้อนถึงความงดงามและเอกลักษณ์ของไทย ท่ารำต้องมีความอ่อนช้อย ได้สัดส่วน และแสดงอารมณ์ตามบทบาท เช่น ท่าจีบนิ้ว ท่าประนม ท่าย่างเท้า ท่ากล่อมตัว เป็นต้น

จังหวะใช้ในการแสดง

          จังหวะคือการฝึกขั้นพื้นฐานที่ใช้แสดงนาฏศิลป์ โดยผู้แสดงนาฏศิลป์จะต้องทำความเข้าใจกับจังหวะ ดนตรีอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถร่ายรำ ออกท่าทางได้ถูกต้องตามจังหวะ ถ้าแสดงไม่ถูกต้องตามจังหวะจะทำให้การแสดงไม่สวยงาม

ดนตรีใช้ประกอบการแสดง

          ในส่วนดนตรีใช้ประกอบการแสดงทำหน้าที่กำหนดจังหวะและอารมณ์ในการรำ รวมถึงสร้างบรรยากาศให้การแสดงมีพลังมากขึ้น มักใช้วงปี่พาทย์ วงมโหรี หรือวงดนตรีพื้นบ้าน ขึ้นอยู่กับประเภทของการแสดง โดยบทเพลงที่ใช้บรรเลงจะต้องนำมาประกอบกับกิริยาท่าทางของตัวละคร

คำร้องหรือเนื้อร้อง

          ในการแสดงนาฏศิลป์ไทยจะประกอบด้วยชุดการแสดงที่มีทั้งบทร้องและไม่มีบทร้อง ซึ่งการแสดงแบบมีบทร้องจะทำให้ผู้ชมเข้าใจการแสดงมากขึ้น โดยการประดิษฐ์ท่ารำให้เหมาะสมกับคำร้องเพื่อให้ผู้ชมมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และให้ผู้แสดงถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างถูกต้องและมีความสวยงาม

การแต่งกาย - แต่งหน้า

          การแต่งกายแบบไทยในนาฏศิลป์ จะเป็นการแสดงที่มีความสวยงามและบ่งบอกถึงความเป็นไทย จึงทำให้การแสดงมีเอกลักษณ์ เช่น การแสดงโขน ซึ่งมีการแต่งกายอันงดงาม มีโขนที่นำมาสวมศีรษะพร้อมตกแต่งลวดลายประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างวิจิตร โดยโขนก็จะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของตัวละคร

อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดง

          อุปกรณ์จัดเป็นองค์ประกอบนาฏศิลป์ที่มีความสำคัญอีกหนึ่งชนิด ทำให้การแสดงมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ แต่อย่างไรก็ตาม การแสดงนาฏศิลป์ไทยในบางชุดอาจไม่มีอุปกรณ์ประกอบก็ได้ หากแต่บางชุดก็มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงเข้ามา ทำให้การแสดงมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น รำฟ้อนเทียน มีอุปกรณ์สำคัญคือ เทียน โดยจะนิยมแสดงในช่วงกลางคืน เนื่องจากแสงเทียนที่สว่างไสวท่ามกลางความมืดจะทำให้การแสดงมีความงดงามมาก

บทบาทและความสำคัญในวัฒนธรรมไทยของนาฏศิลป์ไทย

บทบาทของนาฏศิลป์ไทย

  1. เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวและความเชื่อ
  • ถ่ายทอดวรรณคดี นิทานพื้นบ้าน ตำนาน และพุทธประวัติ เช่น โขนรามเกียรติ์ ละครเรื่องอิเหนา 
  • สื่อสารความเชื่อ ความศรัทธา เช่น ฟ้อนบูชาครู ฟ้อนผีฟ้า โนราโรงครู
  1. เป็นเครื่องมือในการสั่งสอนศีลธรรมและค่านิยม
  • เนื้อเรื่องมักแฝงข้อคิดทางศีลธรรม เช่น ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความเสียสละ
  • ส่งเสริมวัฒนธรรมและมารยาทไทยผ่านท่ารำที่อ่อนช้อย
  1. เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมและประเพณี
  • ใช้ในงานมงคล เช่น ฟ้อนรับแขก รำบวงสรวง
  • ใช้ในงานศพ เช่น ฟ้อนผีฟ้าในภาคเหนือ
  • ประกอบงานราชพิธี เช่น โขนในพระราชพิธีสมโภช
  1. เป็นกิจกรรมนันทนาการและความบันเทิง
  • เป็นศิลปะเพื่อความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย เช่น ลิเก รำวง รำโทน
  • ใช้แสดงในงานวัด งานประจำปี งานต้อนรับต่าง ๆ
  1. เป็นการแสดงเอกลักษณ์ของชาติ
  • แสดงถึงความเป็นไทย ทั้งในท่วงท่ารำ ดนตรี เครื่องแต่งกาย
  • เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมในการแสดงต่อชาวต่างชาติ

ความสำคัญของนาฏศิลป์ไทยในวัฒนธรรมไทย

  1. เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณ
  • มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา
  • แสดงถึงภูมิปัญญาและรสนิยมของบรรพบุรุษไทย
  1. ส่งเสริมความสามัคคีและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  • การแสดงพื้นบ้านแต่ละภาคช่วยสร้างความภาคภูมิใจในชุมชน
  • รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไม่ให้ถูกกลืนโดยวัฒนธรรมต่างชาติ
  1. สนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
  • เป็นแหล่งสร้างรายได้ผ่านการแสดง งานฝึกสอน งานอนุรักษ์
  • ใช้ในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น โขน ณ หอประชุมใหญ่ หรือการแสดงพื้นเมืองในหมู่บ้านวัฒนธรรม
  1. มีบทบาทในการศึกษาและพัฒนาเยาวชน
  • ใช้เป็นกิจกรรมเสริมในโรงเรียน สร้างวินัย สมาธิ และความภาคภูมิใจ
  • ส่งเสริมทักษะทางร่างกาย ดนตรี ภาษา และศิลปะ

เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับในนาฏศิลป์

          การเครื่องแต่งกายแบบไทยในนาฏศิลป์ มีความงดงามและมีกรรมวิธีการประดิษฐ์ที่วิจิตรบรรจงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เพราะที่มาของเครื่องแต่งกายนาฏศิลป์ไทยนั้นจำลองแบบมาจากเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ (เครื่องต้น) แล้วนำมาพัฒนาให้เหมาะสมต่อการแสดง ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ฝ่าย ดังนี้
  1. เครื่องแต่งกายตัวพระ คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงหรือผู้รำที่แสดงเป็นผู้ชาย
  2. เครื่องแต่งกายตัวนาง คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงหรือผู้รำที่แสดงเป็นหญิง 
          สำหรับเครื่องแต่งตัวพระและนางนี้จะใช้แต่งกายสำหรับผู้ระบำมาตรฐาน เช่น ระบำสี่บท ระบำพรหมาสตร์ และระบำกฤดาภินิหาร เป็นต้น และยังใช้แต่งกายสำหรับตัวละครในการแสดงละครนอกและละครในอีกด้วย
  1. เครื่องแต่งกายละคร เช่น เครื่องแต่งกายโขน, เครื่องแต่งกายละครพันทาง, เครื่องแต่งกายแบบพื้นเมืองภาคต่าง ๆ 
  2. การแต่งกายระบำเบ็ดเตล็ด เช่น ระบำไก่ ระบำโบราณคดี และการแต่งกายสร้างสรรค์
          สำหรับเครื่องประดับในนาฏศิลป์ไทย นอกจากช่วยเสริมความงามแล้ว ยังสะท้อนถึงฐานะ บทบาท และลักษณะตัวละครในการแสดงอีกด้วย เช่น จี้นาง, เข็มขัด, ปะวะหลํ่า, กำไลข้อมือ, กำไลข้อเท้า, ทับทรวง, สังวาล เป็นต้น 
          นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับศีรษะ เช่น หัวโขน, ชฎา, รัดเกล้า, กรบังหน้า, เทริด รวมถึงเครื่องประดับอื่น ๆ เช่น ต่างหู, สร้อยคอ, สายรัดต้นแขน, เล็บรำ เป็นต้น
นาฏศิลป์ไทย

ดนตรีประกอบนาฏศิลป์ไทย

          ดนตรีประกอบนาฏศิลป์ไทย เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยส่งเสริมบรรยากาศของการแสดงนาฏศิลป์ให้มีความสมบูรณ์ อ่อนช้อย และสื่ออารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง โดยจะมีบทบาททั้งในด้านการกำหนดจังหวะ ท่วงท่า และอารมณ์ของการร่ายรำ รวมถึงเชื่อมโยงการดำเนินเรื่องให้ไหลลื่น มีชีวิตชีวา ซึ่งประกอบด้วย

ดนตรีประกอบการแสดงโขน - ละคร

          วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนและละครของไทย คือ วงปี่พาทย์ ซึ่งมีขนาดของวงเป็นแบบวงประเภทใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของการแสดงนั้น ๆ ด้วย เช่น การแสดงโขนนั่งราวใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า 2 วง การแสดงละครในอาจใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่ หรือการแสดงดึกดำบรรพ์ต้องใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ เป็นต้น

ดนตรีประกอบการแสดงรำและระบำมาตรฐาน

          การแสดงรำและระบำที่เป็นชุดการแสดงที่เรียกว่า รำมาตรฐาน และ ระบำมาตรฐาน นั้น เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงอาจมีการนำเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบการแสดง โดยจะใช้วงปี่พาทย์บรรเลง เช่น ระบำกฤดาภินิหาร อาจนำเครื่องดนตรีขิมหรือซอด้วง ม้าล่อ กลองต๊อก มาบรรเลงในช่วงท้ายของการรำที่เป็นเพลงเชิดจีนก็ได้

ดนตรีประกอบการแสดงพื้นเมือง

          ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงพื้นเมืองภาคต่าง ๆ ของไทยจะเป็นวงดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าของแต่ละภูมิภาค ได้แก่
          ภาคเหนือ ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น ซึง สะล้อ ปี่แน กลองแอว กลองปู่เจ่ เมื่อรวมกันเป็นวง ได้แก่ วงสะล้อซอซึง วงกลองแอว วงกลองสะบัดชัย เป็นต้น
          ภาคกลาง ใช้เครื่องดนตรีจากวงปี่พาทย์และเครื่องสาย เช่น กลองยาว กลองโทน ระนาด ซอ ปี่ นิยมใช้ในเพลงเกี่ยวข้าว ลำตัด รำวง รำเถิดเทิง
          ภาคอีสาน ใช้พิณ แคน โหวด โปงลาง ซอ กลองกันตรึม ปี่อ้อ เมื่อนำมารวมเป็นวง ได้แก่ วงโปงลาง วงแคน วงมโหรีอีสานใต้
          ภาคใต้ ใช้กลองโนรา กลองปืด ปี่กาหลอ รำมะนา ฆ้องคู่ และมีเครื่องดนตรีสากลร่วมด้วย เช่น ไวโอลิน แอคคอร์เดียน ใช้ประกอบการแสดงโนรา หนังตะลุง รองเง็ง เป็นต้น

การเรียนการสอนและการถ่ายทอดนาฏศิลป์ไทย

          นาฏศิลป์ไทยได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นทั้งในระบบทางการและไม่เป็นทางการ การเรียนการสอนแบบดั้งเดิมจะใช้วิธี “ครู-ศิษย์” คือฝึกซ้อมจากการดูและปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันนาฏศิลป์ไทยถูกรวมไว้ในหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมหาวิทยาลัย รวมถึงในโรงเรียนสอนนาฏศิลป์เฉพาะทาง และศูนย์วัฒนธรรมต่าง ๆ
          นาฏศิลป์ไทยเป็นวิชาทักษะ ผู้ศึกษาจะต้องมีใจรัก มีความอดทนฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสืบสานภูมิปัญญาของบรรพชนที่ได้สร้างผลงานนาฏศิลป์และดนตรีไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทย กระบวนการสืบทอดองค์ความรู้ทางด้านนาฏศิลป์แบ่งได้เป็น 2 สมัย ดังนี้

นาฏศิลป์ไทยในสมัยโบราณ

          การสืบทอดนาฏศิลป์ไทยในสมัยโบราณ เป็นการถ่ายทอดต่อท่ารําแบบตัวต่อตัว ต้องใช้วิธีการจำและรำตาม ไม่มีการบันทึกเป็นภาพหรือเป็นลายลักษณ์อักษร องค์ความรู้ทั้งหมดจึงอยู่ในตัวครู ครูนาฏศิลป์จึงมีความสำคัญต่อลูกศิษย์มาก สถาบันในการถ่ายทอดวิชานาฏศิลป์ส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนรู้ในวัง ครูละครจะเป็นเจ้าจอมหม่อมห้าม เป็นราชสกุล ครูท่านใดรับบทเป็นตัวละครในเรื่องใดก็ฝึกฝนเฉพาะบทบาทจนเชี่ยวชาญ เช่น อิเหนา บุษบา รจนา ต่อเมื่อไม่สามารถแสดงได้ก็ฝึกให้ลูกศิษย์รุ่นต่อ ๆ ไป 

นาฏศิลป์ไทยในสมัยปัจจุบัน

          การสืบทอดนาฏศิลป์ไทยในสมัยปัจจุบัน ปัจจุบันมีการเปิดสอบวิชานาฏศิลป์ไทย ในหลักสูตรพื้นฐานของการศึกษาทุกระดับชั้นและในสถาบันอุดมศึกษา มีกระบวนการการเรียนการสอนที่เปิดกว้างทางกระบวนการความคิด โดยใช้กระบวนการเรียนการสอนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สามารถค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
          แต่สภาพสังคมในปัจจุบันทำให้สภาพการเรียนการสอนมีเวลาจำกัด ผู้เรียนมีจำนวนมาก ครูนาฏศิลป์มีไม่เพียงพอที่จะสอนลูกศิษย์แบบโบราณได้ ดังนั้น ในเรื่องการฝึกทักษะจึงเป็นหน้าที่ของผู้เรียนที่จะต้องหมั่นฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ นอกจากนี้ยังสามารถเรียนรู้ผ่านการแสดงในงานเทศกาล การประกวด และการฝึกซ้อมในชุมชน โดยมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คลิปวิดีโอ และสื่อออนไลน์ ช่วยในการสืบทอดองค์ความรู้ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากยิ่งขึ้น

ความแตกต่างของนาฏศิลป์ไทยกับนาฏศิลป์ของชาติอื่น

          นาฏศิลป์ไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น เช่น ลีลาท่ารำที่อ่อนช้อย ประณีต มีแบบแผนที่เคร่งครัด ใช้เครื่องแต่งกายหรูหราแบบยืนเครื่อง และมีการบรรเลงดนตรีไทยประกอบอย่างซับซ้อน เช่น วงปี่พาทย์
          ในขณะที่นาฏศิลป์ของชาติอื่น เช่น บาหลี อินเดีย หรือจีน อาจเน้นการเคลื่อนไหวที่เร็ว แรง หรือเน้นการเล่าเรื่องด้วยท่าทางที่ต่างออกไป ดนตรีประกอบก็ใช้เครื่องดนตรีพื้นเมืองของแต่ละชาติ และมีจังหวะที่ต่างกัน เครื่องแต่งกายและการใช้สีสันก็มีเอกลักษณ์ตามวัฒนธรรมของตนเอง
          โดยรวม นาฏศิลป์ไทยเน้นความงามแบบอ่อนช้อย ละเมียดละไม และสะท้อนถึงระบบจารีตประเพณีไทยอย่างลึกซึ้ง

ตัวอย่างนาฏศิลป์ไทยที่มีชื่อเสียง

          ตัวอย่างนาฏศิลป์ไทยที่มีชื่อเสียง มีดังนี้
  1. โขน - การแสดงชั้นสูงของไทยที่มีเอกลักษณ์ คือ ผู้แสดงสวมหัวโขน ใช้ท่ารำตามบทพากย์และดนตรีวงปี่พาทย์ เรื่องที่นิยมคือ รามเกียรติ์
  2. ละครใน - การแสดงนาฏศิลป์ในราชสำนัก เน้นความประณีต อ่อนช้อย มีเรื่องราว เช่น อิเหนา อุณรุท การแต่งกายหรูหราแบบยืนเครื่อง
  3. ระบำสี่บท - ระบำมาตรฐานที่นิยมใช้แสดงในงานพิธี ใช้บทเพลง 4 บทประกอบการรำ สะท้อนความงามของนาฏศิลป์ไทย
  4. รำแม่บท - เป็นพื้นฐานของท่ารำไทย ใช้ฝึกหัดผู้เรียนรำ และใช้ในการแสดงศักยภาพของศิลปะการร่ายรำแบบดั้งเดิม
  5. ฟ้อนเล็บ - นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือที่มีชื่อเสียง ผู้แสดงสวมเล็บยาว แต่งกายด้วยผ้าซิ่นลายพื้นเมือง และรำอย่างอ่อนช้อย
  6. เซิ้งบั้งไฟ - การแสดงพื้นบ้านภาคอีสาน แสดงถึงความครึกครื้น สนุกสนานในงานบุญบั้งไฟ ประกอบด้วยการฟ้อนรำและดนตรีพื้นบ้าน
  7. โนรา - นาฏศิลป์พื้นบ้านภาคใต้ที่มีลีลาเฉพาะตัว เสียงดนตรีกระชับ ท่ารำมีพลัง ใช้ประกอบพิธีกรรมและความบันเทิง
นาฏศิลป์ไทย

ภาพจาก : topten22photo / Shutterstock.com

ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์

          นาฏศิลป์ไทยมีความเชื่อและพิธีกรรมที่แสดงถึงความเคารพต่อครูผู้ถ่ายทอดศิลปะ ตลอดจนการขอขมาหรือขอพรเพื่อให้การแสดงราบรื่น ปลอดภัย และเป็นสิริมงคล โดยมีตัวอย่างสำคัญดังนี้ 
  1. พิธีไหว้ครู - แสดงความกตัญญูต่อครูผู้ถ่ายทอด ขอพรให้การเรียนและการแสดงราบรื่น
  2. พิธีครอบครู - พิธีรับครูเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเข้าสู่วงการนาฏศิลป์
  3. พิธีเบิกโรง - เปิดการแสดงอย่างเป็นทางการเพื่อขอขมาและเชิญครูมารับรู้
  4. ความเชื่อเรื่องครู - ห้ามลบหลู่เครื่องแต่งกาย เช่น หัวโขนหรือชฎา เพราะเชื่อว่ามีครูสถิตอยู่
  5. วันครูศิลปะการแสดง (วันพฤหัสบดี) - ถือเป็นวันครู เหมาะสำหรับการจัดพิธีสำคัญทางนาฏศิลป์

นาฏศิลป์ไทยในยุคปัจจุบัน

          นาฏศิลป์ไทยในยุคปัจจุบัน หรือยุคดิจิทัล ถือเป็นการพัฒนาวงการนาฏศิลป์ที่จะนำนาฏศิลป์ไปสู่ยุคของความนิยมในสากล เข้าถึงความสนใจของเยาวชนและคนทั่วโลกให้รู้จักอย่างแพร่หลายด้วยสื่อสังคมออนไลน์ นาฏศิลป์ไทยในปัจจุบันยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้ควบคู่กับการพัฒนาให้ทันสมัย โดยมีการปรับรูปแบบการแสดงให้เข้ากับยุคสมัย
          เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป นาฏศิลป์ไทยแบบดั้งเดิมก็ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น ก่อเกิดเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า “นาฏศิลป์ร่วมสมัย” ซึ่งเป็นการนำวัฒนธรรมและนาฏศิลป์ในรูปแบบอื่น ๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกันกับนาฏศิลป์ดั้งเดิมอย่างกลมกลืน 
          นาฏศิลป์ร่วมสมัยยังได้รับแนวคิดมาจากวัฒนธรรมตะวันตก หลังจากได้มีการเรียนการสอนบัลเลต์ (Ballet) ที่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2490 โดยศิลปินชาวต่างชาติ ไม่นานวัฒนธรรมการเต้นในประเภทต่าง ๆ จากตะวันตกก็ได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทย ทั้งจากศิลปินต่างชาติที่เข้ามาเปิดสถาบันการเรียนการสอน หรือศิลปินไทยที่ไปศึกษาวัฒนธรรมการเต้นในแบบของตะวันตกที่ต่างประเทศ อาทิ การเต้นบัลเลต์ (Ballet) และการเต้นแบบแจ๊ส (Jazz dance) เป็นการออกแบบ ปรับปรุง สร้างสรรค์ และนำเสนอวัฒนธรรมดั้งเดิมในรูปแบบใหม่ โดยการหลีกหนีธรรมเนียม จารีตในแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างสรรค์ท่ารำและลีลาให้เข้ากับโลกปัจจุบัน

สถานที่หรือแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์ไทย

          สถานที่หรือแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์ไทยทั้งในระดับสถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐ และแหล่งเรียนรู้นอกระบบ ที่น่าสนใจในประเทศไทย มีดังนี้
  1. สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
  • หน่วยงานหลักในการอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทยและสอนนาฏศิลป์ไทย มีทั้งระดับมัธยมจนถึงปริญญาตรี
  • มี “วิทยาลัยนาฏศิลป” ในหลายจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สุโขทัย อุบลราชธานี
  1. มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนด้านนาฏศิลป์
          เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มศว มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยราชภัฏต่าง ๆ
  1. กรมศิลปากร / โรงละครแห่งชาติ
          แหล่งแสดงนาฏศิลป์คุณภาพสูง จัดแสดงโขน ละคร และให้ความรู้ด้านศิลปะการแสดง
  1. ศูนย์วัฒนธรรม / พิพิธภัณฑ์
          เช่น ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, บ้านศิลปิน คลองบางหลวง
  1. โรงเรียน / ชมรมในท้องถิ่น
          หลายแห่งมีการสอนนาฏศิลป์ในรูปแบบกิจกรรมหรือชุมนุม เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย
  1. แหล่งเรียนรู้ออนไลน์
          เช่น ช่อง YouTube การแสดงนาฏศิลป์ไทย, เว็บไซต์ของสถาบันต่าง ๆ และหลักสูตรออนไลน์

บุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย

          สำหรับปรมาจารย์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์และสืบทอดนาฏศิลป์ไทยมีอยู่หลายท่านด้วยกัน โดยจะยกตัวอย่างดังนี้

ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ศิลปินแห่งชาติ สาขานาฏศิลป์ พ.ศ. 2528

          ท่านมีผลงานการแสดงโดดเด่น เคยรับบทเป็นตัวอิเหนา นางดรสา พระพิราพ นางเมขลา ไชยเชษฐ์ พระไวย และไกรทอง มีฝีมือการรำเป็นเลิศ เชี่ยวชาญเพลงอาวุธ เช่น กระบี่ ทวน กริช และเป็นผู้พัฒนานาฏศิลป์ไทย โดยนำนาฏศิลป์นานาชาติมาประยุกต์ วางรากฐานการประพันธ์บทโขน ละคร และประดิษฐ์ท่ารำของพระ นาง ยักษ์ ลิง ให้แก่กรมศิลปากรหลายแขนง

ครูรงภักดี (เจียร จารุจรณ) ศิลปินแห่งชาติ สาขานาฏศิลป์ พ.ศ. 2529

          ครูรงภักดีเชี่ยวชาญการรำเพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ซึ่งเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ ให้ครูรงภักดีประกอบพิธีครอบองค์พระในปี พ.ศ. 2506 และให้มีพิธีต่อท่ารำจากภาพที่ทรงบันทึกไว้ในปี พ.ศ. 2527 แม้ขณะนั้นครูรงภักดีจะมีอายุ 86 ปีแล้ว พิธีนี้จัดขึ้นเพื่อถ่ายทอดท่ารำแก่ศิลปินผู้มีฝีมือของกรมศิลปากร

ครูอาคม สายาคม

          นักวิชาการละครและดนตรี 7 กองการสังคีต กรมศิลปากร เมื่อเกษียณอายุ กรมศิลปากรได้เชิญให้เป็นผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ สอนนักศึกษาปริญญาตรี รวมทั้งได้รับเชิญให้เป็นประธานในพิธีไหว้ครูของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ

ครูลมุล ยมะคุปต์

          ท่านแสดงเป็นตัวเอกเกือบทุกเรื่อง เช่น พระสังข์ เจ้าเงาะ พระอภัยมณี สุดสาคร เป็นต้น รวมทั้งผู้ประดิษฐ์ท่ารำมากมาย นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ร่างหลักสูตรให้แก่วิทยาลัยนาฏศิลป  ซึ่งนับว่าเป็นครูนาฏศิลป์คนแรกในการวางหลักสูตรการเรียนการสอนนาฏศิลป์ไทย 

ครูเฉลย ศุขะวณิช ศิลปินแห่งชาติ สาขานาฏศิลป์ พ.ศ. 2530

          ท่านมีฝีมือและความสามารถในการแสดงเป็นตัวเอก เช่น นางสีดา นางสุวรรณมาลี นางเบญกาย นางมณโฑ เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังประดิษฐ์ท่ารำให้ตัวละครเอกของศิลปินกรมศิลปากร และถ่ายทอดท่ารำที่เป็นแบบแผนไว้ในหลักวิชานาฏศิลป์ 
          นาฏศิลป์ไทยคือศิลปะการแสดงที่สะท้อนเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติ ผ่านการร่ายรำ ท่าทาง เครื่องแต่งกาย ดนตรี และเรื่องราวที่สื่อถึงความเชื่อมโยงกับศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ และราชสำนัก ประเภทของนาฏศิลป์มีหลากหลาย เช่น โขน ละคร รำพื้นเมือง ซึ่งแต่ละภาคมีเอกลักษณ์เฉพาะตน เดิมนาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมและความบันเทิงในราชสำนักและชุมชน ปัจจุบันยังคงได้รับการอนุรักษ์ ถ่ายทอด และพัฒนา ทั้งในระบบการศึกษาและการแสดงระดับชาติ-นานาชาติ สะท้อนมรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่สืบสานมาถึงทุกวันนี้ 
เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดที่มาของนาฏศิลป์ไทย ศิลปะคู่แผ่นดินที่งดงามไม่เสื่อมคลาย อัปเดตล่าสุด 2 มิถุนายน 2568 เวลา 16:09:17 6,594 อ่าน
TOP
x close