นิสิตข้ามเพศ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ร้องถูกอาจารย์พิเศษบังคับแต่งชุดตามเพศกำเนิด แถมพูดจาเหยียด บอกกะเทยเหมือนคนบ้า คนจิตผิดปกติ เป็นครูไม่ได้ คณะอนุญาตให้มาเรียน ไม่ส่งโรงพยาบาลบ้าก็บุญแค่ไหนแล้ว
โดยนิสิตข้ามเพศคนดังกล่าว เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยมีการร่างกฎระเบียบข้อแต่งกายใหม่ โดยมอบอำนาจให้คณบดีมีอำนาจพิจารณาการแต่งกายของนิสิตให้เหมาะสมกับอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งเมื่อปลายปี 2560 ตนได้ยื่นเรื่องไปยังรองคณบดีฝ่ายวิชาการและฝ่ายกิจการนิสิตของคณะ เพื่อให้เซ็นรับรองให้ตนสามารถแต่งกายในชุดนิสิตหญิงเข้าศึกษาและสอบไล่ได้
จากนั้น ตนก็แต่งกายชุดนิสิตหญิงมาตลอด กระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2561 ตนเข้าเรียนวิชาหนึ่งซึ่งผู้สอนเป็นอาจารย์พิเศษ และช่วงเช็กชื่อ อาจารย์ท่านนี้ก็ทราบว่าตนเป็นนิสิตข้ามเพศ จึงพูดขึ้นมาในคลาสเรียนว่า ไม่อนุญาตให้ตนเข้าห้องเรียนในวิชานี้ได้ เพราะหากตนแต่งกายนิสิตหญิงเข้ามาเรียน อาจารย์จะงดบรรยายทั้งคลาสทันที
ไม่เพียงเท่านั้น อาจารย์ยังเรียกตนไปพบส่วนตัว พร้อมกล่าวกับตนว่า "คนที่ผิดปกติทางจิตเป็นครูไม่ได้หรอก" ตนจึงอธิบายว่า ก่อนหน้านี้มีการยื่นเรื่องพร้อมแนบใบรับรองแพทย์ขออนุญาตคณะไปแล้ว แต่อาจารย์กลับพูดว่า "บุญแค่ไหนแล้วที่จิตแพทย์ไม่ส่งไปรักษา หรือส่งไปช็อตไฟฟ้าเหมือนสมัยก่อน ดีแค่ไหนแล้วที่คณะครุศาสตร์ยังอนุญาตให้มาเรียนไม่ส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าแทน" และอาจารย์ท่านนี้ยังบอกกับตนอีกว่า จะทำเรื่องขออนุญาตให้มีการทบทวนมติเรื่องการแต่งกายนี้อีกครั้ง
กระทั่งเปิดเทอมใหม่ วันที่ 11 มกราคม 2562 ทางคณะได้นัดให้ตนเข้าพบ และแจ้งว่าจดหมายที่เคยยื่นขออนุญาตแต่งกายนิสิตหญิงถูกยกเลิก ซึ่งต่อไปนี้ต้องแต่งเป็นนิสิตชาย แต่อนุโลมให้ใส่เสื้อคลุมได้หากรู้สึกอาย แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะถูกตัดคะแนนความประพฤติ ซึ่งหากฝ่าฝืนอาจมีโทษถึงถูกพักการเรียน
ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ถ้าตนไม่เรียกร้องอะไรเลยเพื่อให้เกิดบรรทัดฐาน ก็จะทำให้เพื่อนคนอื่น ๆ ต้องประสบปัญหาแบบตนเรื่อย ๆ เพราะความจริงแล้วกรณีแบบนี้มีเพื่อนหลายคนที่เจอ แต่ไม่มีใครกล้าออกมาพูด นอกจากนี้ ตนฝากถึงผู้ใหญ่ว่าปัจจุบันโลกเปิดกว้างมากขึ้น อยากให้ผู้ใหญ่หลายคนทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และเข้าใจสิทธิและความรู้สึกของเด็กให้มากกว่านี้
ด้านคุณนาดา ไชยจิตต์ นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ผู้ช่วยเดินเรื่องและช่วยเหลือนิสิตคนดังกล่าว เผยว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ เพราะจากการที่ได้สัมผัสพูดคุยกับน้องนิสิตคนนี้แล้ว ก็รับรู้ว่าเธอมีจิตวิญญาณของความเป็นครู จึงไม่อยากให้นำเรื่องการแต่งกายมากำหนดว่าน้องนิสิตคนนี้ไม่ควรเป็นครู อีกทั้งทราบมาว่านิสิตคนนี้แต่งกายเรียบร้อยดี ที่สำคัญสรีระมีการปรับเปลี่ยนไปพอสมควรแล้ว จะให้กลับมาแต่งชุดนิสิตชาย ลบเครื่องสำอางก็คงไม่ใช่
อย่างไรก็ตาม ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาชี้แจงว่า ขณะนี้นิสิตได้ยื่นเรื่องร้องทุกข์กรณีดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ หรืออุทธรณ์ของนิสิตในระดับมหาวิทยาลัย และคณะกรรมการมีมติรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ในระหว่างนี้อธิการบดีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจุฬาฯ ได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ไว้ก่อน ซึ่งมีผลให้นิสิตคนดังกล่าวสามารถแต่งกายตามเพศสภาพได้จนกว่าคณะกรรมการพิจารณาฯ จะมีมติเป็นอย่างอื่น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, เว็บไซต์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาพจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
วันที่ 17 มกราคม 2562 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า นิสิตข้ามเพศรายหนึ่งของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความร้องเรียน ระบุว่า ถูกอาจารย์พิเศษบังคับให้แต่งกายให้ตรงกับเพศกำเนิด รวมถึงได้พูดว่า "เป็นกะเทยก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้า แค่สังคมยอมรับมากกว่า การที่คณะครุศาสตร์ให้พวกกะเทยมาเรียนได้ ก็บุญแล้ว คนที่ผิดปกติทางจิต เป็นครูไม่ได้หรอก"
โดยนิสิตข้ามเพศคนดังกล่าว เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยมีการร่างกฎระเบียบข้อแต่งกายใหม่ โดยมอบอำนาจให้คณบดีมีอำนาจพิจารณาการแต่งกายของนิสิตให้เหมาะสมกับอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งเมื่อปลายปี 2560 ตนได้ยื่นเรื่องไปยังรองคณบดีฝ่ายวิชาการและฝ่ายกิจการนิสิตของคณะ เพื่อให้เซ็นรับรองให้ตนสามารถแต่งกายในชุดนิสิตหญิงเข้าศึกษาและสอบไล่ได้
จากนั้น ตนก็แต่งกายชุดนิสิตหญิงมาตลอด กระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2561 ตนเข้าเรียนวิชาหนึ่งซึ่งผู้สอนเป็นอาจารย์พิเศษ และช่วงเช็กชื่อ อาจารย์ท่านนี้ก็ทราบว่าตนเป็นนิสิตข้ามเพศ จึงพูดขึ้นมาในคลาสเรียนว่า ไม่อนุญาตให้ตนเข้าห้องเรียนในวิชานี้ได้ เพราะหากตนแต่งกายนิสิตหญิงเข้ามาเรียน อาจารย์จะงดบรรยายทั้งคลาสทันที
ไม่เพียงเท่านั้น อาจารย์ยังเรียกตนไปพบส่วนตัว พร้อมกล่าวกับตนว่า "คนที่ผิดปกติทางจิตเป็นครูไม่ได้หรอก" ตนจึงอธิบายว่า ก่อนหน้านี้มีการยื่นเรื่องพร้อมแนบใบรับรองแพทย์ขออนุญาตคณะไปแล้ว แต่อาจารย์กลับพูดว่า "บุญแค่ไหนแล้วที่จิตแพทย์ไม่ส่งไปรักษา หรือส่งไปช็อตไฟฟ้าเหมือนสมัยก่อน ดีแค่ไหนแล้วที่คณะครุศาสตร์ยังอนุญาตให้มาเรียนไม่ส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าแทน" และอาจารย์ท่านนี้ยังบอกกับตนอีกว่า จะทำเรื่องขออนุญาตให้มีการทบทวนมติเรื่องการแต่งกายนี้อีกครั้ง
โดยคำพูดเหล่านั้นทำให้ตนรู้สึกแย่และอายมาก ตนรู้สึกอึดอัดมากที่ต้องเข้าเรียนและไปไหนกับเพื่อน ๆ เหมือนโดนประจานต่อหน้าคนเป็นร้อย เวลาเลิกเรียนตนจะรีบกลับบ้านทันที เพราะไม่อยากให้ใครมาถาม
ภาพจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ถ้าตนไม่เรียกร้องอะไรเลยเพื่อให้เกิดบรรทัดฐาน ก็จะทำให้เพื่อนคนอื่น ๆ ต้องประสบปัญหาแบบตนเรื่อย ๆ เพราะความจริงแล้วกรณีแบบนี้มีเพื่อนหลายคนที่เจอ แต่ไม่มีใครกล้าออกมาพูด นอกจากนี้ ตนฝากถึงผู้ใหญ่ว่าปัจจุบันโลกเปิดกว้างมากขึ้น อยากให้ผู้ใหญ่หลายคนทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และเข้าใจสิทธิและความรู้สึกของเด็กให้มากกว่านี้
ด้านคุณนาดา ไชยจิตต์ นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ผู้ช่วยเดินเรื่องและช่วยเหลือนิสิตคนดังกล่าว เผยว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ เพราะจากการที่ได้สัมผัสพูดคุยกับน้องนิสิตคนนี้แล้ว ก็รับรู้ว่าเธอมีจิตวิญญาณของความเป็นครู จึงไม่อยากให้นำเรื่องการแต่งกายมากำหนดว่าน้องนิสิตคนนี้ไม่ควรเป็นครู อีกทั้งทราบมาว่านิสิตคนนี้แต่งกายเรียบร้อยดี ที่สำคัญสรีระมีการปรับเปลี่ยนไปพอสมควรแล้ว จะให้กลับมาแต่งชุดนิสิตชาย ลบเครื่องสำอางก็คงไม่ใช่
อย่างไรก็ตาม ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาชี้แจงว่า ขณะนี้นิสิตได้ยื่นเรื่องร้องทุกข์กรณีดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ หรืออุทธรณ์ของนิสิตในระดับมหาวิทยาลัย และคณะกรรมการมีมติรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ในระหว่างนี้อธิการบดีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจุฬาฯ ได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ไว้ก่อน ซึ่งมีผลให้นิสิตคนดังกล่าวสามารถแต่งกายตามเพศสภาพได้จนกว่าคณะกรรมการพิจารณาฯ จะมีมติเป็นอย่างอื่น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, เว็บไซต์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย