เปิดราคาคอร์สสถาบันกวดวิชาเข้า ป.1 จ่ายแสน ขายฝันพ่อ-แม่อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนสาธิต แฉลงโทษเด็กจนช้ำ อ้างปรับพฤติกรรมเพื่อเตรียมตัวสอบเข้า ด้านแม่เด็กเก่งผิดหวังสถาบันใช้ชื่อลูกมาหากิน
จากกรณี เพจเฟซบุ๊ก แหม่มโพธิ์ดำ ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า มีผู้ปกครองเด็กชั้น ป.1 เสียเงินเป็นแสน เพื่อส่งลูกไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง โดยสถาบันนี้มักจะใช้ความรุนแรงในการควบคุมพฤติกรรมเด็ก จนกลายเป็นการทำร้ายร่างกายเด็ก เพราะคนที่ดูแลเด็กไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ (อ่านข่าว : แม่โวยเอาลูก ป.1 เข้าสถาบันกวดวิชา ค่าเรียนเป็นแสน แต่ทำร้ายเด็กช้ำทั่วตัว)
เมื่อลูกของตนเข้าไปเรียน ก็ได้ไปเห็นเพื่อนคนอื่นถูกทำโทษ และถูกตีหลายคน บางคนยืนกางแขนหน้าห้องเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำให้ช่วงแรกลูกถึงขั้นร้องไห้ไม่อยากไปเรียน ตนจึงเกลี้ยกล่อมว่าการทำโทษไม่เกี่ยวกับลูก ประกอบกับช่วงนั้นมีผู้ปกครองเข้ามาถามครูเรื่องการทำโทษ ทำให้ครูตีเด็กน้อยลง โดยให้เหตุผลว่า เด็กไม่นิ่งและต้องการปรับพฤติกรรมในการเตรียมตัวสอบเข้า
คุณบุ๋ม เล่าต่อว่า หลังจากลูกสอบติดโรงเรียนสาธิต ในปีการศึกษา 2560 ด้วยคะแนนสอบ 36 เต็ม 40 คะแนน ทำให้ครูของสถาบันติดต่อมาว่า จะขอนำรูปและชื่อไปโฆษณาลงโปสเตอร์ ตนก็อนุญาต แต่สิ่งที่สถาบันทำ คือ นำชื่อลูกตนไปแอบอ้างกับผู้ปกครองท่านอื่นว่า จะต้องลงคอร์สการฟังเพื่อจะได้สอบติดแบบลูกของตน ซึ่งคอร์สการฟังเป็นคอร์สย่อย สอนฟังนิทาน ปัญหาเชาว์ และคณิตศาสตร์ เพื่อเตรียมสมาธิในการสอบเข้าโรงเรียนสาธิต
สำหรับค่าคอร์สมีราคาตั้งแต่ 5,000-10,000 บาทเป็นต้นไป ส่วนคอร์สเรียนรายปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็นคอร์สละ 160,000 บาท ราคานี้รวมค่าคอร์สรายปี และคอร์สย่อยทุกคอร์ส ได้แก่ คอร์สการฟัง คอร์สรูปภาพ และคอร์สแก้บัค ซึ่งปีที่ผ่านมาราคาที่ลูกของตนเรียนอยู่ที่คอร์สละ 92,000 บาท สาเหตุที่ราคาสูงขึ้น เป็นเพราะทางสถาบันอ้างว่า ลูกของตนเรียนครบทุกคอร์สจึงสอบติด ทั้งที่ลูกตนไม่ได้เรียนสถาบันแห่งนี้แห่งเดียว
ตนรู้สึกว่าทางสถาบันแอบอ้างชื่อ เพื่อขายคอร์สให้กับผู้ปกครองท่านอื่น อาจทำให้ตนถูกมองว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับทางสถาบัน ซึ่งครูก็เคยลงโทษลูกของตนด้วยการใช้ไม้บรรทัดตีที่มือ จนทำให้ไม้บรรทัดไปสะกิดเปลือกตาน้อง โดยครูอ้างว่าเป็นการปรับพฤติกรรม และเป็นจุดเด่นของโรงเรียน เพื่อให้เด็กมีความพร้อมในการสอบเข้าเรียนโรงเรียนสาธิต ตนมองว่าการปรับพฤติกรรมมีหลายวิธี แต่ทำไมถึงใช้วิธีนี้กับลูกเรา มันเกินกว่าเหตุจริง ๆ
ด้าน คุณวุฒิ (นามสมมติ) เล่าว่า ตนเสียเงินไป 140,000 บาท เพื่อให้ลูกได้เรียนโรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้ หวังให้สอบติดโรงเรียนสาธิตชื่อดัง เพราะคิดว่าคุ้มค่าเป็นการวางแผนระยะยาว ต่อยอดไปตั้งแต่ระดับประถม มัธยม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ที่ผ่านมาลูก 5 ขวบก็ถูกตีเหมือนกัน แต่ไม่แรงเท่าคุณบุ๋ม ถูกตีที่ฝ่ามือ ออกมาจากห้องก็มีอาการซึมเศร้า ไม่อยากไปโรงเรียน จึงตัดสินใจลาออก เพราะลูกไม่รู้สึกอยากเรียน และคะแนนก็ไม่ดีขึ้น โดยเงินที่จ่ายไปก็ไม่ได้คืน ทั้ง ๆ ที่เรียนไม่จบคอร์ส
ขณะที่ คุณกิ๊ก (นามสมมติ) เล่าว่า ลูกของตนเข้าเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้ และสอบเข้าสาธิตได้ แต่ลูกก็ไม่ได้เรียนที่เดียว อีกทั้งที่บ้านก็มีส่วนพัฒนาลูก สถาบันอื่นก็ดูแลลูกเราเหมือนกัน ซึ่งการเรียนที่นั่นก็มีคอร์สเล็ก ๆ งอกขึ้นมา จากที่จ่ายไป 92,000 บาท ก็เป็น 160,000 บาท ทางโรงเรียนก็ได้ขออนุญาตนำเคสของลูกไปโปรโมท แต่ไม่คิดว่าจะนำไปโปรโมทเหมือนเป็นการตลาด ถ่ายคลิป ขึ้นโปสเตอร์โชว์ แล้วยังเชิญชวนว่าถ้าอยากจะเก่งต้องเรียนอย่างลูกเรา ซึ่งเริ่มผิดทางเป็นการโฆษณามากเกินไป
ส่วนทางด้าน ดร.เนตรปรียา (มุสิกไชย) ชุมไชโย หรือ ครูเคท เจ้าของโรงเรียนสอนภาษาครูเคท มาให้คำแนะนำกับผู้ปกครองว่า โรงเรียน หรือครู ไม่มีสิทธิ์ที่จะลงโทษเด็กด้วยการเฆี่ยน ตี และยอมรับว่าค่าเรียนสถาบันแห่งนี้ ราคาแพงมากเป็น 100 เท่า เมื่อเทียบกับโรงเรียนของตน ซึ่งการจะให้ลูกเป็นคนเก่ง ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนโรงเรียนกวดวิชา คนที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็ไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนดัง ทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จได้หมด อย่าไปเจาะจงว่าต้องเรียนโรงเรียนดังเท่านั้น การเตรียมตัวลูก คือ พ่อแม่ควรเลี้ยงลูกให้เป็นคนช่างสังเกต การตีไม่ได้ทำให้ลูกฉลาดขึ้นแต่อย่างไร ถ้าอยากจะให้ลูกสอบได้ ควรฝึกด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช่ให้เด็กเรียนแต่วิชาการ
ภาพและข้อมูลจาก