นักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ด้านที่ไม่ใช่ภาษา (กระทรวงศึกษาธิการ)
กลุ่มผู้เรียนรู้ที่บกพร่องกลุ่มนี้เพิ่งจะเริ่มได้รับความเข้าใจและความสนใจที่พวกเขาต้องการ เพื่อที่จะเข้าใจความยุ่งยากที่พวกเขาเผชิญและช่วยเหลือพวกเขาให้ใช้ความสามารถได้ดีที่สุด ขณะเดียวกับที่ลดผลกระทบของจุดอ่อนของพวกเขา เราจำเป็นต้องรู้ถึงอาการและผลกระทบของมัน มีความสับสนอย่างมากกับนิยามนี้
"บกพร่องทางการเรียนรู้ที่ไม่ใช่ภาษา" นิยามนี้หมายถึงความจริงที่ว่า แต่ละบุคคลไม่ได้มีกระบวนการรับรู้ข้อมูลซึ่งไม่ใช่ภาษาตามธรรมชาติอย่างถี่ถ้วน ในทางกลับกัน เกือบจะเป็นการเฉพาะพวกเขายึดถือในการตีความของคำที่พูดหรือเขียน การตีความนี้มีแนวโน้มที่จะถือเป็นรูปธรรม และมักปรากฎเป็นความแข็งกร้าว ขาดความยืดหยุ่น เราอนุมานว่า การขาดการยืดหยุ่นนี้เป็นผลของความล้มเหลวที่จะรวบรวมข้อมูลของธรรมชาติที่ไม่ใช่ภาษาให้เป็นความเข้าใจ ข้อมูลที่ไม่ใช่ภาษารวมไปถึงข้อมูลที่รู้โดยการสัมผัส ความรู้สึกในการเคลื่อนไหว ข้อมูลที่มองเห็นในที่ว่างเปล่า ข้อมูลที่มีผลกระทบ ข้อมูลที่บังเกิดจากประสพการณ์ซึ่งผู้เรียนรู้ไม่ได้รับรู้เลย ดังนั้นจึงไม่เชื่อมโยงหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับภาษา แต่ละบุคคลเหล่านี้อาจพูดมากมาย ภาษาที่แสดงออกของพวกเขาดูจะเป็นรูปธรรมและเต็มไปด้วยรายละเอียดที่มากเกิน บทสนทนาของเขาแสดงถึงความสนใจต่อผู้ฟังเพียงน้อยนิดหรือไม่แสดงเลย
คำกล่าวต่อไปนี้มักเป็นความจริงสำหรับบุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่ไม่ใช่ภาษา
• พวกเขาพูดมากแต่บอกเรื่องราวเพียงเล็กน้อย
• พวกเขาเห็น "ต้นไม้" ไม่ใช่ "ป่า"
• พวกเขาเพ่งเล็งที่รายละเอียดแต่ไม่เข้าใจความคิดหลัก
• พวกเขาไม่ "มองภาพโดยรวม"
• พวกเขาไม่ "อ่าน" การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง การสื่อสารแง่มุมอื่นที่ไม่ใช่ภาษา พวกเขามักพลาดในความเฉียบไวและความต่างของความรู้สึก
• พวกเขาอาจจะมีปฏิกิริยาทางสังคมที่ไม่เหมาะสม
• พวกเขามีเพื่อนแค่สองสามคน มิตรภาพมีแนวโน้มที่จะมีกับคนที่อ่อนกว่าหรือแก่กว่ามากกว่าจะเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
• พวกเขามีแนวโน้มจะมีกระบวนการรับรู้ข้อมูลในทางตรง รูปแบบการเรียงลำดับเหตุการณ์ ไม่มองเห็นมิติที่ซับซ้อน
• ทั้งๆ ที่มีจุดแข็งในการเรียงลำดับหรือเรียบเรียงเหตุการณ์ พวกเขาก็อาจจะสับสนเรื่องความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม พวกเขามีความยุ่งยากที่เห็นได้ชัดในการรับรู้ถึงความเกี่ยวพันกันของสาเหตุและผลกระทบ
• พวกเขามักจะ "ดับเครื่อง" เมื่อต้องเผชิญกับความกดดันที่จะแสดงออก ความกดดันนั้นอาจจะมาจากความต้องการที่เกิดขึ้นพร้อมกันที่มากจนเกินไป จากงานซึ่งดูเหมือนจะซับซ้อนจนเกินไป หรือจากความคาดหวังที่จะให้แสดงออกในอัตราเร่งซึ่งดูเหมือนจะเร็วเกินไป
• ในฐานะผู้ใหญ่ พวกเขามีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับการจ้างงานอันเนื่องมาจากประสพการณ์ทางการศึกษาของพวกเขา
เราปรารถนาที่จะช่วยเหลือบุคคลที่ยังเยาว์วัยเหล่านี้ให้ปรับปรุงตนและบรรลุความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา แรกเริ่มทีเดียว เรายอมรับว่า พวกเขากระตือรือล้นที่จะเรียนรู้ ที่จะทำตัวให้เหมาะสม ที่จะประสบความสำเร็จ และที่จะทำสิ่งที่พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมาย เราแสวงหาที่จะเข้าใจวิธีที่พวกเขาเรียนรู้ ที่จะทำตามคำสอนทางตรงและชัดแจ้งเพื่อแก้ไขความยุ่งยากเหล่านั้น และใช้จุดแข็งของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เราสามารถทำตนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าเราปฏิบัติดังต่อไปนี้
• ให้การถ่ายทอดที่เป็นภาษาสำหรับประสพการณ์ที่ไม่ใช่ภาษา และในการเชื่อมโยงปฏิกิริยาของเขากับคนอื่นๆ เมื่อใดก็ตามที่เหมาะสม
• สอนพวกเขาให้ใช้จุดแข็งของตนเองในการวิเคราะห์ภาษา เพื่อที่จะถ่ายทอดประสพการณ์ของตนเอง
• คาดคะเนสถานการณ์ซึ่งพวกเขาอาจจะพบความยุ่งยาก และกระทำตนเป็นเครื่องกันชนและให้การสนับสนุนเพื่อก่อให้เกิดผลลัพท์ในทางบวกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ช่วยพวกเขาให้คาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่ซึ่งพวกเขาอาจจะมีความยุ่งยาก และให้วางแผนล่วงหน้าถึงการโต้ตอบที่เป็นทางเลือกบางอย่างที่พวกเขาอาจจะจำเป็นต้องโต้ตอบในสถานการณ์เหล่านั้น
• สอนพวกเขาให้ตีความการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางและการสื่อสารแง่มุมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษา
• สอนพวกเขาให้เฝ้าระวังและตีความตัวบ่งชี้จากคนอื่นๆ ว่า พวกเขากำลังพูดมากเกินไป หรือว่าการสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพในทางหนึ่งทางใด
• ตรวจสอบความเข้าใจของพวกเขาเมื่อทำการสื่อสาร และสอนพวกเขาให้ตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและถามคำถามที่ให้ความกระจ่าง
• ระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะเชื่อมั่นในความเข้าใจของพวกเขาเมื่อมีการเห็นในที่ว่างเข้ามาเกี่ยวข้อง
• ระมัดระวังที่จะทำให้ความเกี่ยวพันระหว่างสาเหตุและผลกระทบชัดเจน เมื่อไรก็ตามที่ทำได้
• ช่วยเหลือให้ผู้ที่เรียนรู้คาดคะเนความเกี่ยวพันระหว่างสาเหตุและผลกระทบเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในหลายๆ เรื่องของชีวิต
• สอนและฝึกฝนทักษะการจัดระเบียบ
• ควบคุมความต้องการที่จะให้แสดงออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้มั่นใจว่า พวกเขาจัดการกับมันได้และไม่ดูเป็นการเหลืออดเหลือทน
• เชื่อถือในจุดแข็งทางด้านภาษา ช่วยเหลือแต่ละคนให้ฝึกฝนและทำให้ภายในใจมีกระบวนการตัดสินใจ การตั้งเป้าหมาย การวางแผนและการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น และมีผลสะท้อนกลับให้ได้ประเมินผลนั้น ผลลัพธ์ของกระบวนการต้องให้ความน่าเชื่อถือจากความพยายามของตนเองและนำความสำเร็จ
ให้เชื่อมั่นและมีความหวัง การช่วยเหลือดังข้างต้นสามารถสร้างผลที่แตกต่างในทางบวก (โดย จีน เอ็ม ฟอสส์ (1999) จาก Students with Nonverbal Learning Disabilities โดย Jean M Foss, MEd, Director of Clinical Teaching and Research ที่โรงเรียน ไพน์ ริดจ์ ในเมืองวิลลิสตัน มลรัฐเวอร์มอนต์)
แปลและเรียบเรียงโดย
พรรษชล ศรีอิสราพร
ส่วนสื่อการศึกษาเพื่อคนพิการ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา
http://www.braille-cet.in.th/