
ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ จากพื้นฐานภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ จนถึงขั้นมาแชร์ประสบการณ์ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ประกาศให้โลกรู้ว่า ภาษาอังกฤษน่ะ...ง่ายนิดเดียว
ยุคนี้กลายเป็นว่าใครเก่งภาษาอังกฤษก็ได้เปรียบในหลาย ๆ ด้าน แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า นอกจากปัจจัยชีวิตทั้ง 4 ประการแล้ว ภาษาอังกฤษก็เป็นปัจจัยชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างทันที ดังนั้นเราจะมัวพูดและรู้แต่ภาษาแม่ของตัวเองไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ต้องฝึกภาษาอังกฤษให้ทัดเทียมกับชาวโลกเขาด้วย
ว่าแต่ถ้าอยากฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองจะเวิร์กไหม หากกำลังสงสัยอย่างนี้อยู่ ลองมาอ่านประสบการณ์ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองจากคุณ sabrina สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ดูสิคะ แล้วจะรู้เลยว่าภาษาอังกฤษน่ะ ไม่ยากเกินความตั้งใจจริง

แชร์ประสบการณ์ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง โดยคุณ sabrina
LET’S SPEAK ENGLISH TO THE WORLD
“ภาษาอังกฤษ” เป็นภาษาหนึ่งที่มีความสำคัญ หลาย ๆ คนเริ่มตื่นตัวในการฝึกภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะภาษาอังกฤษอาจจะเป็นใบเบิกทางในการเรียนรู้สิ่งใหม่ และเปิดโอกาสอื่น ๆ เช่น ได้ทำงานที่ท้าทายขึ้น หรือระหว่างเดินทางท่องเที่ยว พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนใหม่ ทำให้เข้าใจความคิดและเปิดโลกกว้างขึ้น
บางคนไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นเพราะขาดความมั่นใจ ไม่คุ้นเคย กลัวพูดผิดแกรมม่า กลัวทุกอย่าง “ความกลัว” เป็นอุปสรรคของความสำเร็จ ทำให้ไม่กล้าทำอะไร แต่อย่ากลัวที่จะเรียนรู้
เริ่มขจัดความกลัว อย่ากลัวที่จะถาม อย่ากล้วที่จะเริ่ม มั่นใจว่าเราทำได้ แล้วมาลุยฝึกภาษาอังกฤษกัน !
ขอแชร์เทคนิค “การฝึกภาษาอังกฤษ” ที่ใช้แล้วเกิดผลกับตัวเราเอง เราฝึกภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุ 12 ปี จนตอนนี้พูดฟังอ่านเขียนได้ดีในระดับหนึ่ง พูดคุยได้แบบธรรมชาติ เวลาพูดไม่ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อน เลยอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ : )
1. หาแรงบันดาลใจในการฝึกภาษาอังกฤษ
การมีแรงบันดาลใจจะช่วยผลักดันให้มีความตั้งใจในการฝึกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไอดอลที่พูดภาษาอังกฤษเก่ง ๆ เลยอยากพูดให้ได้แบบนั้นบ้าง หรือจะเป็นดารา นักร้องต่างประเทศ
เล่าประสบการณ์ :
แรงบันดาลใจของเราคือ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ตอนอายุ 12 ปี เป็นช่วงที่บ้ามาก ๆ อ่านหนังสือฉบับแปลจบสองเล่ม ก็เกิดความคลั่งพยายามหาข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นยังไม่มีภาษาไทยเท่าไร ยิ่งตอนคัดเลือกนักแสดงยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่ พอหนังออกก็ฝึกพูดตาม ปัจจุบันยังจำประโยคเหล่านั้นได้อยู่บ้าง เหมือนมันเป็นพิมพ์เขียวฝังในสมองไปซะแล้ว เชื่อเหอะ ! ลองหาแรงบันดาลใจดี ๆ ดูนะ
2. ดูหนัง ซีรีส์ ฟังเพลง
ดูหนัง ซีรีส์ ฟังเพลง ได้ทักษะทั้งการฟังและการพูด ทำให้รู้ว่าปกติเจ้าของภาษาพูดกันยังไง ออกเสียงยังไง รูปแบบประโยคเป็นแบบไหน เเถมยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมจากหนังด้วยนะ ไม่จำกัดว่าต้องดูหนังหรือซีรีส์เท่านั้น อาจจะดูรายการที่ชอบตาม YouTube ก็ได้
โดยอาจจะเริ่มดูหนังที่ชอบก่อน เป็นหนังที่มีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ เริ่มแรกควรจะเลือกหนังที่เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนมาก เป็นหนังครอบครัวก็ได้ ดูซ้ำไปซ้ำมา อาจจะฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจในตอนแรก แต่ต้องอดทนฟังต่อไปอย่างสม่ำเสมอ แล้วจะฟังออกเอง พอเริ่มฟังออกว่าพูดอะไรก็ลองพูดตาม พยายามเลียนแบบเสียงให้เหมือน
เล่าประสบการณ์ :
เราดูหนังเยอะมาก ๆ ตอนปิดเทอมในสมัยเด็ก บางเรื่องชอบมากก็ดูหลายรอบ แรก ๆ ก็เปิดซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ จากนั้นก็ดูแบบไม่มีซับไตเติ้ล ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ฟังต่อไปแล้วลองพูดตามจนเริ่มชินกับประโยค ทำให้ตอนพูดไม่ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อน หลัง ๆ หูเริ่มชิน จากหนังง่าย ๆ เริ่มพัฒนาความยากขึ้น ก็ฟังออกขึ้นเยอะ
ถ้าเบื่อ ๆ ดูหนังก็เปิด YouTube ดูรายการที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็น The Voice, The X Factor, Got Talent, TED Talks และรายการอื่น ๆ พอพัฒนาขึ้น ก็ฝึกฟังสำเนียงต่าง ๆ ดู ทั้งอังกฤษ อเมริกัน แคนาดา หรือออสซี่
3. อ่านนิยาย อ่านข่าว อ่านนิตยสาร
พยายามอ่านอะไรก็ได้ที่เราสนใจและชอบ เป็นภาษาอังกฤษ เพราะมันทำให้เราไม่เบื่อ อาจจะเป็นข่าวดารานักร้อง หรือนิยายที่ชอบ วิธีนี้ช่วยในการอ่านและการเขียน ทำให้เราซึมซับสำนวน คำศัพท์ และโครงสร้างของประโยค คำศัพท์ไหนไม่รู้ก็พยายามเดาจากบริบท ถ้าไม่รู้จริง ๆ ค่อยเปิดดิกชันนารี (อังกฤษเป็นอังกฤษ) เเล้วก็จดคำศัพท์นั้น ๆ เอาไว้ในสมุด
เล่าประสบการณ์ :
เราเริ่มอ่านนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นภาษาอังกฤษ แต่รู้สึกว่ามันยากไป เพราะไม่ชินกับโครงสร้างประโยค รู้ศัพท์น้อย เลยเริ่มจากนิยายเด็กง่าย ๆ ก่อน อย่างของ Roald Dahl (เช่น The Chocolate Factory) พอเริ่มอ่านคล่องก็เพิ่มระดับความยากขึ้น

4. เขียนไดอารี่ เขียนนิยาย
ลองเริ่มเขียนอะไรต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษดู เช่น เขียนไดอารี่ นิยาย หรือจะลองโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเป็นภาษาอังกฤษดูก็ได้ ลองหัดเขียนไปเรื่อย ๆ ตอนเขียนอาจจะติดขัดบ้าง ให้ลองค้นหารูปแบบประโยคหรือคำศัพท์ที่ถูกต้องจาก google ลองเขียนทุก ๆ วันจะเริ่มเห็นพัฒนาการ ทั้งสำนวนและโครงสร้างของประโยค
เล่าประสบการณ์ :
เราเริ่มเขียนนิยายเป็นภาษาอังกฤษแบบจริงจังมาก สมัยอยู่โรงเรียนเขียนไปหลายสิบหน้า เขียนเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษอ่าน ระหว่างที่ฝึกเขียนทำให้รู้จักคำศัพท์ สำนวน และโครงสร้างประโยคเยอะขึ้นมาก เพราะต้องค้นคว้าใน google ว่าการเขียนที่ถูกต้องเป็นยังไง ต้องเปิดดิกชันนารี
จริง ๆ พอลองหยิบนิยายที่เขียนมาอ่านตอนโตดู เขียนแกรมม่าผิดพอควร แต่ก็ถือว่ามันเป็นหนึ่งในการฝึกและทำให้เรียนรู้มากขึ้น อีกวิธีคือลองหาเพื่อน Penpal เขียนอีเมลแลกเปลี่ยนกัน แบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ แถมได้เพื่อนด้วย
5. พูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ
อย่าอายที่จะพูดภาษาอังกฤษ ลองพูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษดูหน้ากระจก ค่อย ๆ ฝึกพูด พยายามพูดเสียงให้ครบ แรก ๆ อาจพูดช้าแต่ชัวร์ดีกว่าเนอะ พอพูดได้คล่องมากขึ้น ก็จะพูดเร็วและเป็นธรรมชาติเอง
เล่าประสบการณ์ :
เราฝึกด้วยการทำฉลากเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อต่าง ๆ เช่น Travel, Movie, Tea, Mountain, Sea เป็นคำอะไรก็ได้พื้น ๆ แล้วลองพูดเกี่ยวกับสิ่งนั้นดู ยกตัวอย่าง “Travel” ก็อาจจะพูดเกี่ยวกับประเทศที่อยากไปเที่ยว เพราะอะไร ถ้าจะให้ดีลองอัดเสียงด้วยก็ดีนะ แล้วมาลองฟังและถอดเสียงคำพูดเป็นตัวหนังสือดู อาจจะเจอได้ว่า ตอนพูดเราเป็นยังไงบ้าง ? ผิดตรงไหน ?
บางครั้งเวลาเราอยู่คนเดียว ก็พูด ก็บ่นอะไรต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษ อาจจะดูบ้า…แต่มันเวิร์กนะเธอ !
6. พูดกับคนต่างชาติ
บางคนเวลาเจอชาวต่างชาติมาถามทาง อาจจะกลัว ตกใจ ไม่กล้าพูดขึ้นมาซะงั้น “อย่าไปกลัว มันอยู่ที่ใจ !” พวกเขาก็เป็นคนเหมือนเราเนี่ยเเหละ แค่ต่างชาติต่างภาษา ลองค่อย ๆ พูดดู อันนี้ต้องอาศัยความกล้าหน่อย ถึงจะผ่านจุดนี้ไปได้
เล่าประสบการณ์ :
ตอนเด็ก ๆ มีวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนกับครูต่างชาติอาทิตย์ละครั้ง เรารู้สึกว่า “เฮ้ย ! อยากฝึกพูดมากกว่านี้” ลองชวนเพื่อนที่มีใจรักภาษาอังกฤษเหมือนกัน จูงมือกันไปห้องพักครูตอนพักเที่ยง พยายามพูดคุยภาษาอังกฤษ ไม่ก็ทำโปรเจคท์สัมภาษณ์นักท่องเที่ยว ไปตามวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ แล้วสัมภาษณ์ จนตอนนี้เวลาทำงานหรือไปเที่ยวก็พยายามพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อน ๆ ต่างชาติอยู่เสมอ
“PRACTICE MAKES PERFECT“
เมื่อฝึกตามเทคนิคต่าง ๆ แล้ว อาจจะมีจังหวะที่ท้อบ้าง ต้องพยายามผ่านจุดนั้นไปให้ได้ เตือนตัวเองว่า ทำไมเราถึงอยากพูดภาษาอังกฤษ จุดมุ่งหมายของเราคืออะไร จำเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรกให้ขึ้นใจ
ขอให้ "อดทน อดกลั้น และฝึกฝน" ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ถ้าไม่มีการฝึก ฝึกฝนบ่อย ๆ ก็จะเก่งเอง ตอนนี้เราก็ยังพัฒนาภาษาอังกฤษต่อไป : )
ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองไม่ได้ยากอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วยเห็นไหมล่ะ แต่แน่นอนว่าอาจต้องใช้เวลา อาจต้องทุ่มเทให้กับการฝึกเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายแล้วถ้าเจอผลลัพธ์ที่น่าพอใจ มันก็คุ้มที่จะลงทุนลงแรงไม่ใช่เหรอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ sabrina สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม