สำหรับคนที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ คงรู้จักชื่อของการสอบ IELTS กันดีอยู่แล้ว เพราะเป็นการสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ที่จะนำผลมาใช้ในการเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งในการสอบ IELTS ก็จะมีให้เลือกสอบอยู่ 2 แบบด้วยกัน
ในวันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาไปสัมภาษณ์ พี่แคร์ อาจารย์จากสถาบันจุฬาติวเตอร์ สถาบันกวดวิชาอินเตอร์ยอดนิยม เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ทำความเข้าใจกับการสอบ IELTS และรู้จักแนวข้อสอบ โดยเฉพาะในพาร์ท IELTS Listening จะได้ทำข้อสอบได้ง่ายขึ้นจนผ่านฉลุยกันจ้า
IELTS มีให้เลือกสอบอยู่ 2 แบบ คือ British Council กับ IDP แล้วทั้งสองแบบแตกต่างกันอย่างไรคะ ?
ความต่างกันของสองแห่งนี้ก็คือ
1. ราคา (อันนี้อาจเป็นปัจจัยหลักของใครหลายคน^^*) ที่ British Council หากสมัครที่ศูนย์เลย จะราคา 6,300 บาท แต่หากสมัครออนไลน์ จะได้ราคา 6,000 บาทค่ะ สำหรับคนที่สอบครั้งแรก แนะนำให้สมัครที่ศูนย์สอบเลย เพราะพนักงานจะอธิบายขั้นตอนการสมัครต่าง ๆ รวมทั้งสถานที่สอบ หากสมัครที่ IDP จะราคา 5,900 บาทค่ะ
2. หูฟัง ที่ British Council ในส่วน part Listening จะมีหูฟังแยกให้ผู้เข้าสอบแต่ละคน และปรับความดังได้ด้วย แต่ที่ IDP จะเป็นลำโพงฟังรวมค่ะ อันนี้แล้วแต่ความสะดวกของผู้เข้าสอบเลยว่าจะเลือกที่ไหน
3. สัมภาระ ในการเข้าห้องสอบ ที่ British Council ห้ามนำทุกสิ่งอย่างเข้าห้องสอบ ยกเว้นบัตร ประชาชน หรือ passport ทุกอย่างต้องฝากเจ้าหน้าที่ด้านหน้า แต่ที่ IDP สามารถนำกระเป๋าสตางค์ติดตัวเข้าห้องสอบได้ ทั้งสองแห่งจะแจก ดินสอ ยางลบ ไว้ให้อยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อหรือเตรียมมา
สุดท้ายข้อสำคัญ ในวันสอบนักเรียนทุกคนต้องถ่ายรูปและสแกนลายนิ้วมือก่อนเข้าห้องสอบ ดังนั้นแต่งชุดที่คิดว่าเจ๋งที่สุด สวยที่สุด (ตื่นเช้าหน่อยก็แต่งหน้า เซตผมมาให้หล่อระเบิด) เพราะรูปที่ถ่ายจะติดผลสอบของผู้เข้าสอบไปตลอด 2 ปี
แนวข้อสอบ IELTS ส่วนมากออกอะไร และแต่ละครั้งมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนคะ ?
ข้อสอบ IELTS เป็นข้อสอบ Global ที่เหมือนกับข้อสอบ SAT, TOEIC คือข้อสอบค่อนข้างจะเป็นแพทเทิร์นเดิม ๆ ถ้าออกแนวไหนมักจะออกแนวนั้น มีเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยแต่ไม่มากเหมือนข้อสอบอินเตอร์ในไทย เช่น CU-TEP CU-AAT ที่ข้อสอบมักจะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เช่น CU-TEP มีเพิ่ม part Speaking ในบ้างรอบ ส่วน CU-AAT part Math เพิ่มกฎห้ามใช้เครื่องคิดเลข เป็นต้น เพราะฉะนั้นหากคนที่กำลังจะสอบ IELTS หากเตรียมตัวมาดีและถูกแนวข้อสอบ IELTS จะไม่ยากเลยค่ะ
งั้นเรามาเริ่มข้อสอบส่วนแรกกันก่อนเลย IELTS Listening ข้อสอบพาร์ทนี้ลักษณะเป็นอย่างไรคะ ?
ข้อสอบ IELTS Listening จะแยกเป็น 4 Section (Section ละ 10 ข้อ รวมเป็น 40 ข้อ) ผู้เข้าสอบจะได้ฟังทั้งหมด 4 เรื่อง Section 1-3 ข้อสอบจะหยุดให้ฟังและตอบเป็น 2 ช่วง ผู้สอบควรฟังให้ดีว่า บทพูดนั้น ใช้ตอบคำถามข้อที่เท่าไร ถึงข้อที่เท่าไร แต่ใน Section 4 ข้อสอบจะพูดยาว ให้ตอบคำถาม 10 ข้อรวดเดียวเลย
IELTS Listening Section 1 จะเป็นบทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างคน 2 คน อาจจะเป็นการจำลองสถานการณ์ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย หรือ ลูกค้าโทรศัพท์มาสอบถามข้อมูล โดยบทสนทนาไม่ซับซ้อนและไม่ยากมากเท่าไหร่ ลักษณะข้อสอบจะเป็นเติมคำในช่องว่าง ง่าย ๆ ไม่เกิน 1-3 คำ มีทั้งเติม ตัวเลข (เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อายุ ฯลฯ) เติมชื่อ-นามสกุล และข้อมูลอื่น ๆ คำศัพท์ที่ให้เติมจะไม่ยากมากนัก แต่สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่อง การสะกดคำ (Spelling) ฟังให้ดีว่าคำนั้นเติม –s/-es/-ed รึป่าว ข้อสอบ Section 1 เป็นส่วนที่ง่ายที่สุด ดังนั้น ทำใจให้สบาย พยายามทำ part นี้ให้ได้คะแนนเยอะที่สุด
IELTS Listening Section 2 มักจะเป็นบทบรรยาย อธิบายเส้นทาง (มีคนพูดคนเดียว) บางทีเป็น ไกด์ แนะนำสถานที่ ลักษณะข้อสอบจะเป็นตัวเลือก (Multiple Choices) มักจะมีไม่กี่ข้อ สิ่งสำคัญคือ ให้ผู้สอบอ่านโจทย์ก่อนอย่างรวดเร็ว ว่าคำถามถามอะไร อ่านคำตอบมีประมาณไหน ความจริงหลายคนแนะนำให้อ่านคำตอบด้วย แต่ตอนพี่เข้าห้องสอบ จะไม่ค่อยอ่านคำตอบของโจทย์ก่อน เพราะมันกินเวลาอ่านคำถามข้ออื่น ๆ และควรระวังเรื่องเวลา เพราะเขาให้เวลาอ่านแค่ 30 วินาที
ระบุตำแหน่งสถานที่ (Labeling) อาจมีรูปภาพแผนที่ (Map) ให้ผู้สอบต้องระบุตำแหน่งตามที่กำหนด ดังนั้น ฟังผู้พูดให้ดีตั้งแต่ต้น ว่าเขาบอกทิศทางให้เดินไปซ้าย หรือขวา เพราะถ้าฟังผิดตั้งแต่แรก หลงทางและตอบผิดแน่นอน
จับคู่ (Matching) ควรอ่านคำถามก่อน และข้อสอบลักษณะนี้ ควรมีการจดโน้ตย่อตามสิ่งที่ได้ฟัง ก่อนเลือกจับคู่ข้อที่ถูกต้อง ผู้สอบจะไม่สามารถจับคู่ได้เลยในขณะที่ฟังอยู่ เพราะจะทำให้พลาดข้อมูลถัดไป ไม่ต้องกลัวจะตอบไม่ทันนะคะ เพราะหลังจากที่ฟังจบแต่ละ Section เขาจะหยุดให้ผู้สอบ Check คำตอบอีกประมาณ 30 วินาที ถ้าเจอข้อสอบจับคู่ พี่ทำวิธีนี้ตลอด เพราะสิ่งสำคัญคือ เราต้องฟังข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน ถึงจะเลือกข้อถูกได้ ระดับความยากของSection 1-2 ยังไม่ตัวแม่ ของจริงคือ Section 3 และ 4 ค่ะ
แล้ว Section 3-4 ของ IELTS Listening ที่ว่ายาก ข้อสอบเป็นอย่างไรคะ ?
IELTS Listening Section 3 มักจะเป็นบทสนทนา 2-3 คน คำถามและเนื้อเรื่องที่เขาพูดจะยากขึ้นค่ะ ลักษณะเนื้อเรื่องที่พูดมักจะเป็นการอภิปราย ถกเถียงกัน มักจะมีทั้งเสียงผู้หญิงผู้ชายพูดสลับกัน ดังนั้นการอ่านชื่อตัวละคร จำว่าใครเป็นใคร พูดอะไร ก็เป็นสิ่งสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ คำศัพท์และสำนวนที่ได้จากบทฟัง กับโจทย์ มักจะไม่เหมือนกัน เช่น สมมุติว่าในบทพูด ผู้สอบได้ยินคำว่า developments of Thailand education (การพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของการศึกษาไทย) แล้วเห็นคำว่า developments ในตัวเลือก จึงเลือกตอบข้อนั้น แบบนี้มีสิทธิ์ตอบผิดมากค่ะ เพราะใจความอาจจะคนละเรื่องเลยก็ได้
ลักษณะคำถามมีทั้ง เติมคำ ตัวเลือก จับคู่ เคล็ดลับการทำพาร์ทนี้ให้ได้คะแนนดี ผู้สอบต้องไม่เพียงฟังจับใจความได้ แต่ต้องสามารถเข้าใจความหมายและมีคลังคำศัพท์ในหัวเยอะมากพอสมควร เพราะ Section 3 ไม่ใช่การฟังเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันเหมือน Section 1-2 แล้ว แต่เป็นแนวกึ่ง ๆ วิชาการค่ะ
IELTS Listening section 4 หายใจเข้าลึก ๆ เลยค่ะ พอถึง Section นี้ เพราะบทพูดจะยาว ไม่มีการหยุดพักให้เหมือน Section 1-3 และที่สำคัญข้อสอบมักจะเป็นแบบ เติมคำ ไม่เกิน 1-3 คำ ลักษณะบทพูดจะเป็น บทบรรยาย และเป็นทางการมาก ยิ่งเฉพาะผู้สอบ IELTS เพื่อการเรียนต่อต่างประเทศ ต้องยิ่งฝึกฟังลักษณะนี้ไว้ให้มาก เพราะส่วนมากจะเป็นคำศัพท์วิชาการ แต่ไม่มีคำศัพท์เฉพาะ (Technical Term) เยอะเท่าการสอบ TOEFL สิ่งที่ผู้สอบควรทำคือ พยายามอ่านโจทย์ให้หมดอย่างรวดเร็ว part นี้เขาจะหยุดให้อ่านโจทย์ก่อน 1 นาที
สิ่งสำคัญอีกประการคือ คำศัพท์ก็มักจะต่างจากบทพูด แต่มีความหมายเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สอบต้องพยายามดูว่าคำที่ให้เติมเป็นคำประเภทไหน เช่น เป็นคำนาม คำกริยา หรือคำขยาย ในส่วนนี้ ไวยากรณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเติมคำที่หายไปให้ถูกต้อง
ได้รู้จักกับการสอบ IELTS แนวข้อสอบ และเทคนิคการทำข้อสอบไปแล้ว หวังว่าเพื่อน ๆ คงจะเตรียมความพร้อมได้ง่ายขึ้น ส่วนใครที่ต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.chulatutor.com ส่วนครั้งหน้าเราจะมีแนวข้อสอบ IELTS แบบไหนมาเล่าให้ฟังอีก อย่าลืมติดตามกันให้ดีนะคะ ^^