x close

สภาการศึกษาทางเลือกฯ ออกแถลงการณ์ ค้าน ศธ. ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก


สภาการศึกษาทางเลือกฯ ออกแถลงการณ์ ค้าน ศธ. ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

            ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก สภาการศึกษาทางเลือกฯ-เครือข่ายการศึกษาไม่เห็นด้วย ออกแถลงการณ์คัดค้าน ระบุ สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการ จี้ ยกเลิกการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก พร้อมเตรียมจัดรณรงค์ครั้งใหญ่ 

            กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในวงการศึกษาอีกหนึ่งเรื่อง เมื่อ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีแผนจะยุบโรงเรียนขนาดเล็ก กว่า 17,000 แห่งทั่วประเทศ โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลไม่มีกำลังงบประมาณจะพัฒนาโรงเรียนทุกแห่ง และไม่สามารถนำงบประมาณจากเงินภาษีมาดูแลทุกโรงเรียนได้เท่าเทียมกัน จึงต้องยุบโรงเรียนขนาดเล็ก แล้วโอนนักเรียนมาเรียนในโรงเรียนแห่งอื่น ซึ่งมีคุณภาพมากกว่า

            แน่นอนว่าเรื่องการยุบโรงเรียนตามแนวคิดของกระทรวงศึกษาธิการนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เพียงแต่คนในวงการศึกษาให้ความสนใจ แต่ประชาชนทั่วไปก็ให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับเด็กนักเรียนในพื้นที่ชนบทที่มีความจำเป็นต้องเล่าเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ดังนั้น จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเสียงคัดค้านตามมา ทั้งจากในโลกออนไลน์ และผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้

            ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย จึงได้ออกแถลงการณ์ เรื่องการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กของภาครัฐ โดยระบุว่า การยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก สะท้อนให้เห็นความไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำมากมาย เช่น ความล้มเหลวด้านการบริหารจัดการการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานของประชาชน ความไม่เป็นธรรมต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง ความไม่เป็นธรรมต่อการเรียนรู้ ฯลฯ

            พร้อมกันนี้ ทางสมาคมฯ ยังได้เสนอแนะให้กระทรวงศึกษาธิการกระจายอำนาจในการจัดการศึกษาแก่ท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการศึกษาแก่ลูกหลานของตนเองตรงตามบริบทแวดล้อม และยกเลิกนโยบายการยุบ เลิก หรือควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทพื้นที่ห่างไกลและที่อื่น ๆ โดยเปลี่ยนเป็นส่งเสริมและมอบให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาดูแลบริหารจัดการตามแนวทางการศึกษาของชุมชนแทน ดังมีใจความต่อไปนี้


แถลงการณ์เรื่องการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กของภาครัฐ โดย สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย

            นับตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการประกาศนโยบายการยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2554 สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย พร้อมด้วยเครือข่ายโรงเรียนชุมชน (โรงเรียนขนาดเล็ก) ทั่วประเทศ ได้คัดค้านต่อนโยบายดังกล่าวโดยมีการจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งได้มีการยื่นจดหมายคัดค้านและเสนอแนวทางออกแก่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการมานับตั้งแต่สมัย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล จนต่อมาได้เกิดแนวทางในการแก้ไขสถานการณ์โรงเรียนขนาดเล็กร่วมกัน โดย ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แถลงผ่านสื่อมวลชนว่า จะร่วมมือกับสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทยจัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กโดยการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนเพื่อตอบโจทย์เรื่องคุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็ก

            สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทยได้ดำเนินการตามแนวทางความร่วมมือดังกล่าว มีการจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากเครือข่ายโรงเรียนชุมชนทั่วประเทศ พัฒนาจัดทำแผนทั้งในระดับพื้นที่ชุมชน พื้นที่จังหวัด และระดับชาติ จนเกิดเป็นแผนพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กด้วยการปฏิรูปการจัดการศึกษาแนวใหม่

            ทั้งนี้ แม้ต่อมาจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีทำให้มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่หลายครั้ง นับตั้งแต่ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช จนกระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา หากแต่สภาการศึกษาทางเลือกก็ยังคงเคลื่อนไหวคัดค้านนโยบายการยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง มีการยื่นจดหมายและเสนอแผนพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กฯ แก่ สพฐ. มาโดยตลอด รวมทั้งได้เสนอขอให้เปลี่ยนจากการยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กมาเป็นการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็นโรงเรียนชุมชน ที่ชุมชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วมบริหารโรงเรียน มีหลักสูตรที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ มีการระดมทรัพยากรจากทุกฝ่ายมาสนับสนุน ด้วยหวังว่าจะนำมาสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างมีส่วนร่วมตามแนวทางอันเป็นไปตามที่ สพฐ.เคยได้แถลงต่อสื่อมวลชนไว้

            ระยะเวลา 2 ปีกว่าที่สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย เครือข่ายโรงเรียนชุมชนทั่วประเทศ และองค์กรด้านการศึกษาหลายแห่งได้ระดมสรรพกำลัง ระดมความคิดเห็น และเผยแพร่ผลงานของการปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กอย่างมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนในระดับพื้นที่หลายแห่ง เช่น โรงเรียนบ้านกุดเสถียร จ.ยโสธร, โรงเรียนบ้านท่าสะท้อน จ.นครศรีธรรมราช, โรงเรียนบ้านดอนทราย จ.นครศรีธรรมราช, โรงเรียนบ้านมอวาคี และโรงเรียนบ้านห้วยหินลาดนอก จ.เชียงราย

            อย่างไรก็ตาม ความหวังบนเส้นทางของกระบวนการดังกล่าวนี้กำลังพังทลายในพริบตา เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ได้ประกาศยุบโรงเรียนขนาดเล็ก 17,000 โรง จากโรงเรียนทั้งหมด 30,000 โรง โดยละเลยและไม่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพของเด็กนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กที่มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่พ่อแม่อยากให้อยู่ใกล้บ้าน อยากให้อยู่ในชุมชน กับกลุ่มที่พ่อแม่ยากจนไม่สามารถส่งลูกไปที่อื่นได้ประกอบกับสามารถดูแลลูกได้สะดวกด้วย ดังนั้นการยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กจึงเป็นการสร้างความทุกข์ยากให้เกิดขึ้นกับพ่อแม่ผู้ปกครองมากกว่าจะเป็นการสร้างสุข


การยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก จึงสะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำ ดังนี้

            1. ความไม่เป็นธรรมในการแก้ปัญหาอันเกิดจากความล้มเหลวด้านการบริหารจัดการการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานที่ใช้งบประมาณแผ่นดินสูงถึงปีละ 400,000,000,000 บาท แต่ล้มเหลวในการดูแลพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพและทั่วถึงตามความต้องการของประชาชน อีกทั้ง เขตพื้นที่การศึกษายังปล่อยปละละเลยการบริหารโรงเรียน ทำให้ครูมีจำนวนน้อยลง เพราะขอโยกย้ายไปโรงเรียนใหญ่ในเมือง หรือขอเกษียณราชการล่วงหน้า และขาดการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการการศึกษาที่ขาดความรู้ ความเข้าใจ และมองภาพการพัฒนาเชิงระบบ

            2. ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานของประชาชน เพราะรัฐยังคงใช้วิธีคิดผูกขาดการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานไว้กับกระทรวงฯ โดยเมื่อจัดไม่ได้ดีจนเกิดโรงเรียนเล็กมากมาย ก็ยุบทิ้งแล้วเอางบประมาณรายหัว อาคารสถานที่ อัตราจ้าง และผลประโยชน์อื่น ๆ ของโรงเรียนเล็กที่ถูกยุบมาเป็นของโรงเรียนใหญ่ และเขตพื้นที่การศึกษา ทั้งที่มีวิธีการจัดการศึกษาที่เป็นทางออกได้ คือ การจัดร่วมกับภาคประชาสังคม

            3. ความไม่เป็นธรรมต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะการแก้ไขปัญหาด้วยการยุบควบรวมโรงเรียนเล็กเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ และขาดความรับผิดชอบ โดยปัดภาระให้ประชาชนต้องย้ายลูกไปเรียนโรงเรียนที่ห่างไกลชุมชน และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แม้จะมีรถรับส่งดูแล แต่การเรียนไกลบ้านย่อมรวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะที่ย่อมจะเกิดขึ้นตามมา

            4. ความไม่เป็นธรรมต่อเด็กในด้านการเรียนรู้ เพราะรัฐยังคงเน้นการจัดการศึกษาโดยเอาวิชาเป็นตัวตั้ง เน้นการจดจำสาระวิชาเพื่อไปสอบแข่งขันศึกษาต่อ เพื่อผลิตแรงงานสนองความต้องการของอุตสาหกรรม ซึ่งล้มเหลวในการพัฒนาคุณภาพเด็กที่รอบด้าน และสอดคล้องกับการพัฒนาสังคมที่หลากหลายตามบริบท

            5. ความไม่เป็นธรรมต่อชุมชน สิ่งที่สำคัญยิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการละเลยไม่พูดถึง คือ โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ ชุมชนมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง ทั้งบริจาคที่ดิน ชาวบ้านช่วยกันก่อสร้างอาคารเรียน ช่วยทำนุบำรุงโรงเรียนทั้งแรงกายและแรงทรัพย์ การยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กโดยไม่ได้รับฟังเสียงสะท้อน คัดค้านจากเจ้าของพื้นที่ เจ้าของโรงเรียนตัวจริงอย่างชาวบ้าน ชุมชน จึงเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนอย่างเห็นได้ชัด

            และ 6. ความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากการบริหารจัดการศึกษาแบบรวมศูนย์ของรัฐ การจัดสรรงบประมาณตามขนาดของโรงเรียนหรือจัดสรรงบอุดหนุนตามรายหัว โรงเรียนใหญ่ได้รับงบประมาณเยอะกว่าโรงเรียนเล็ก วิธีการนี้กำลังถ่างให้เกิดความเหลื่อมล้ำ งบอุดหนุนที่ไม่เท่ากันย่อมนำมาสู่การพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนได้ไม่เท่ากัน ทั้ง ๆ ที่มีเงื่อนไข ข้อจำกัดเช่นนี้ แต่การประเมินคุณภาพการศึกษากลับใช้มาตรฐานไม้บรรทัดเดียวกันในการชี้วัด ซึ่งไม่เป็นธรรม

            ท่าทีและแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการในวันนี้ จึงเป็นการหักหาญ ทำลายหัวจิตหัวใจของพ่อแม่ หัวอกของชุมชนอย่างยิ่ง ซึ่งหากกระทรวงศึกษาธิการไม่พร้อมที่จะบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนชุมชนให้มีคุณภาพได้ สภาการศึกษาทางเลือกและเครือข่ายโรงเรียนชุมชน (โรงเรียนขนาดเล็ก) ทั่วประเทศ มีข้อเสนอ ดังนี้

            1. กระทรวงศึกษาธิการต้องกระจายอำนาจในการจัดการศึกษาแก่ท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการศึกษาแก่ลูกหลานของตนเองตรงตามบริบทแวดล้อม สอดคล้องกับวิถีชีวิตวัฒนธรรม เปิดโอกาสให้เกิดการสร้างมิติการศึกษาที่หลากหลาย ด้วยการดึงความรู้จากชุมชนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของภาคการศึกษาในระบบผ่านการหนุนเสริม ทั้งด้านงบประมาณและรับรองความรู้จากกระทรวงศึกษาธิการด้วยการให้สถานศึกษาทางเลือก และชุมชนคิดและจัดการได้ด้วยตนเอง

            2. ขอคืนพื้นที่การศึกษาให้แก่ชุมชน ยกเลิกนโยบายการยุบ เลิก หรือควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทพื้นที่ห่างไกลและที่อื่น ๆ โดยเปลี่ยนเป็นส่งเสริมและมอบให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาดูแลบริหารจัดการตามแนวทางการศึกษาของชุมชน และการศึกษาทางเลือกที่มีความหลากหลาย โดยให้ชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนในพื้นที่ร่วมกันบริหารจัดการโรงเรียนโดยกระบวนการมีส่วนร่วม

            ทั้งนี้ สภาการศึกษาทางเลือกได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่า หากกระทรวงศึกษาธิการยังเดินหน้ายุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 17,000 โรง โดยไม่รับฟัง แนวทางจากภาคประชาชนแล้วนั้น สภาการศึกษาทางเลือกจะประสานองค์กรด้านการศึกษาทั่วประเทศจัดรณรงค์ครั้งใหญ่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและการรวมศูนย์อำนาจการจัดการศึกษา ที่เป็นต้นตอสำคัญซึ่งทำให้เกิดวิกฤติทางการศึกษาในครั้งนี้และในหลายทศวรรษที่ผ่านมา

            "เด็กทุกคนต้องมีโอกาสทางการศึกษา ได้เลือก ได้คิด และเรียนรู้ตามความถนัดในสิ่งที่ตนสนใจ ครอบครัว ชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของการกระบวนการทางการศึกษา ร่วมกับโรงเรียน เราจะไม่โยนภาระอันนี้ให้เป็นหน้าที่หลักของโรงเรียนเท่านั้น"


สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย
สมาคมบ้านเรียน
เครือข่ายโรงเรียนไทไทย
เครือข่ายการศึกษาทางภาคเหนือ
เครือข่ายการศึกษาทางภาคกลาง
เครือข่ายการศึกษาทางภาคอีสาน
เครือข่ายการศึกษาทางภาคใต้
เครือข่ายโรงเรียนชุมชน
เครือข่ายการศึกษาทางเลือกชนเผ่าพื้นเมือง

9 พฤษภาคม 2556


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
change.org



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สภาการศึกษาทางเลือกฯ ออกแถลงการณ์ ค้าน ศธ. ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก อัปเดตล่าสุด 9 พฤษภาคม 2556 เวลา 15:35:26
TOP