เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เมื่อพูดถึงเรื่องของการศึกษา เพื่อนบ้านของไทยเราอย่าง ประเทศจีน ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีเกณฑ์การรับสมัครนักเรียนที่เข้มข้น จนอดคิดไม่ได้ว่านี่มันมากเกินไปแล้วหรือไม่ อย่างข่าวเด็กมัธยมที่ต้องอ่านเขียน และเรียนอย่างหนักเพื่อสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัย หรือเด็กนักเรียนระดับมัธยมต้น สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง แต่ล่าสุดความเข้มข้นและตึงเครียดเหล่านั้นได้ลุกลามมาถึงเด็กเล็กในวัยอนุบาลกันแล้ว ตามการรายงานจากเว็บไซต์ ecns.cn ของจีน
แหล่งข่าวระบุว่านาย หวัง เล่ย (นามสมมุติ) พาลูกสาววัย 6 ขวบของตนไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเขตไห่เตี้ยน กรุงปักกิ่ง คุณครูท่านหนึ่งพาตัวลูกสาวไปยังห้องเรียนเพื่อสอบสัมภาษณ์ ตัวนายเล่ยเองก็คิดว่าน่าจะเป็นการพูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ปรากฏว่า ลูกสาวของเขาอยู่ในห้องนั้นถึงชั่วโมงครึ่ง ก่อนจะออกมาด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนักและดูไม่ร่าเริงเลย คุณครูแจ้งกับนายเล่ยว่า ลูกสาวของเขาไม่มีความรู้เรื่องการถอดเสียงภาษาจีน ตัวหนังสือจีนพื้นฐาน และแม้แต่คณิตศาสตร์พื้นฐานง่าย ๆ จึงไม่อาจรับลูกสาวของเขาเข้าเรียนได้
นายเล่ยไม่ใช่ผู้ปกครองเพียงคนเดียวที่ตกอยู่ในอาการช็อก เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ที่โรงเรียนถามลูกสาวของเขา ควรจะเป็นสิ่งที่เด็กจะได้เรียนรู้หลังจากเข้าเรียนชั้นประถมต่างหาก มีคุณแม่ชาวจีนอีกรายหนึ่งที่พาลูกชายของตนไปร่วมสอบคัดเลือก เพื่อเข้าเรียนโรงเรียนประถมอีกแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง และต้องตกใจกับสิ่งที่ลูกชายต้องเจอ นั่นคือเด็กชายต้องทำข้อสอบทั้งหมด 200 ข้อ ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และลูกชายของเธอก็ต้องพลาดหวังไป เนื่องจากทำข้อสอบได้เพียง 100 กว่าข้อเท่านั้น และจากคำบอกเล่าของเธอ โรงเรียนประถมอีกหลาย ๆ แห่งก็มีเกณฑ์การสอบคัดเลือกเช่นเดียวกันนี้
เหตุที่การคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อในชั้นประถมของจีนนั้นยากเย็นและเข้มข้นขนาดนี้ เป็นผลพวงสืบมาจาก ปรากฏการณ์เบบี้บูมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โรงเรียนประถมที่มีชื่อเสียงในจีนต่างได้รับใบสมัครนับพันใบ แต่กลับสามารถรองรับนักเรียนได้เพียงจำนวนหยิบมือเท่านั้น เกณฑ์การรับสมัครที่สุดโหดนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อคัดกรองแต่เด็กที่ดีพร้อมจริง ๆ
ผู้ปกครองหลายคนลงทุนกับการกวดขัน และพาลูกวัยอนุบาลของตนไปเรียนพิเศษอย่างหนัก อย่างหญิงแซ่เพ่ยที่เป็นคุณแม่ของลูกชายวัย 6 ขวบ พาลูกของตนไปเรียนพิเศษภาษาจีน คณิตศาสตร์ ศิลปะ เปียโน และเทควันโด มาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว ทั้งนี้เพื่อปูทางให้เขาได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมที่ดีให้ได้ โดยโรงเรียนที่เธอพาลูกชายไปสมัครนั้น รับเด็กนักเรียนแค่ 60 คน แต่มีจำนวนใบสมัครมากถึง 3,000 ใบเลยทีเดียว และแม้จะเรียนเด็กชายจะเรียนพิเศษมากขนาดนี้แล้ว นางเพ่ยก็กล่าวว่า ลูกชายของเธอก็ยังไม่ใช่เด็กที่เก่งที่สุดในชั้นเรียนอนุบาลอยู่ดี เพราะมีเพื่อน ๆ ของลูกชายอีกหลายคนที่พ่อแม่ให้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเข้าไปด้วย
ศาสตราจารย์คัง เจี้ยน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง แสดงความเป็นห่วงต่อวิกฤติการณ์แข่งขันที่เข้มข้น และการกวดขันที่หนักหน่วงต่อเด็กวัยอนุบาลว่า ความจริงแล้วเด็กในวัยนี้ควรได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่หลากหลายด้วยตัวเอง เพื่อเสริมสร้างจินตนาการ พัฒนาทักษะทางกายภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็กเล็กในวัยนี้ และสิ่งที่จะทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้อย่างดีที่สุดก็คือ การเล่นสนุกไปตามวัย ไม่ใช่การบังคับให้พวกเขาต้องเรียนรู้เนื้อหาหนัก ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่หรือเด็กโตมากกว่า
ดูท่าทางแล้ว ปัญหานี้คงทวีความรุนแรงขึ้นมากจริง ๆ ในสังคมจีน และเมื่อหันกลับมามองระบบการศึกษาของไทยเอง ก็คงไม่แตกต่างกันนัก แม้อาจจะยังไม่เข้มข้นเท่าแต่ก็ต้องยอมรับว่ามีการแข่งขันอยู่ในระดับสูงอยู่จริง ๆ หนทางแก้คือการปรับมาตรฐานของโรงเรียนต่าง ๆ ให้ทัดเทียมเสมอกัน แต่ในทางปฏิบัตินั้นก็ช่างทำได้ยากและต้องใช้เวลานานเหลือเกิน..