คุรุสภา"ยื้อ"ฟัน"ป.บัณฑิต"สุดฤทธิ์ (ไทยโพสต์)
คณะอนุกรรมการกฎหมายคุรุสภาชุดสอบสวน ป.บัณฑิต ยื้อไม่ฟัน มอส.แค่ประชุมนัดแรกองค์ประชุมมาแค่ครึ่งเดียว แต่ก็มีมติตั้งคณะทำงานชุดเล็กขึ้นมาอีกชุด ระบุเอาไว้ตรวจสำนวน "ยืนยง" อ้างข้อมูลที่ "องค์กร" ให้มาไม่เพียงพอ ยอมรับอาจต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือนกว่าจะได้ข้อสรุป "ชินวรณ์" เออออเข้าใจการทำงานบอร์ดคุรุสภา ชี้ไม่น่ามีปัญหา เพราะ สกอ.เดินหน้าเอาผิดไปแล้ว
ในการทำงานครั้งแรกของคณะอนุกรรมการกฎหมายคุรุสภา เพื่อตรวจสอบความผิดของมหาวิทยาลัยอีสาน กรณีซื้อขายใบประกาศนียบัตรวิชาชีพครู (ป.บัณฑิต) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา และมีการประชุมนัดแรกเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. นายยืนยง จิรัฏฐิติกาล อนุกรรมการกฎหมายชุดดังกล่าวเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการ ว่า วันนี้มีคณะอนุกรรมการมาประชุมเพียง 13 จาก 24 คน ซึ่งนายเพิ่ม หลวงแก้ว ประธานคณะอนุกรรมการ ติดภารกิจไปประชุมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ต่างจังหวัด ทำให้ตนต้องทำหน้าที่ประธานแทน เบื้องต้นที่ประชุมได้ตรวจสอบเอกสารที่คุรุสภาส่งมาให้ พบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นการสรุปข้อมูลการซื้อขายใบ ป.บัณฑิต โดยไม่มีรายละเอียดอะไรเลย อาทิ ไม่มีสำนวนการสอบ ไม่มีรายชื่อของบัณฑิตที่ซื้อขายใบ ป.บัณฑิตโดยไม่ได้เรียน โดยเฉพาะกรณีบัณฑิต 11 รายที่มาสารภาพกับคุรุสภาว่าไม่ได้เรียนจริง ดังนั้น ตนอยากขอให้นายองค์กร อมรสิรินันท์ เลขาธิการคุรุสภา ส่งข้อมูลรายละเอียดที่เคยสอบสวนมาให้พิจารณาเพิ่ม
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการได้พิจารณากันอย่างรอบคอบแล้ว และมีมติให้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อมาช่วยการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วย นายสงขลา วิชัยขัทคะ เป็นประธาน และกรรมการอีก 7 คน ได้แก่ นายธีรพัฒน์ คำคูบอน นายยืนยง จิรัฏฐิติกาล นายปรีดา บุญเพลิง นายสุวิรัติ มังคุด นายจักรพรรดิ วะทา นายชวน คงเพชร นายรณชิต บุตรภักดีธรรม และนายขจร จิตสุขุมมงคล โดยคณะทำงานชุดนี้จะดำเนินการตรวจสอบสำรวจให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่มีคำสั่งแต่งตั้งเป็นคณะทำงาน อย่างไรก็ตาม ตนไม่มั่นใจว่าคณะทำงานชุดนี้จะดำเนินการตรวจสอบและรายงานได้ทันในการประชุมบอร์ดคุรุสภา ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้หรือไม่ และหากไม่ทันก็ต้องเลื่อนออกไปเดือนกรกฎาคม
"ถ้าเราตัดสินใจใดๆ ไป โดยไม่เห็นสำนวนที่ถูกต้อง อาจมีผลกระทบต่อคุรุสภาโดยตรง ตลอดจนนักศึกษาที่เรียนจริงก็จะได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น เราจึงขอดูสำนวนทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพราะเรื่องนี้เป็นคดีอาญา เราจะดำเนินการอะไรลงไปโดยไม่เห็นสำนวนเราคงทำไม่ได้ ดังนั้น คณะอนุกรรมการซึ่งเป็นนักกฎหมาย มีมติว่าต้องดูสำนวนตัวจริงและดูอย่างละเอียด ว่าใครบ้างที่ทำให้คุรุสภาเสียหาย เสียหายเรื่องใดบ้าง" นายยืนยงกล่าว
อนุกรรมการกฎหมายกล่าวต่ออีกว่า สำหรับประเด็นที่สำนักงานคุรุสภาเสนอมายังคณะอนุกรรมการให้พิจารณาในวันนี้ ได้แก่ 1. จะมีการแจ้งความกับผู้กระทำผิดทางอาญาหรือไม่ 2.หากสมควรดำเนินการ ควรดำเนินการแจ้งความผู้ใดบ้าง 3.หากข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังว่ามีใครกระทำผิดทางอาญาเช่นเดียวกัน ควรมอบสำนักงานคุรุสภาแจ้งความดำเนินการต่อไปหรือไม่ และ 4.การใช้อำนาจของนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ที่ให้ความเห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาดำเนินการแจ้งความเองในเรื่องนี้ได้หรือไม่ เป็นต้น ซึ่งทั้ง 4 ประเด็นนี้ ที่สำนักงานคุรุสภาเสนอมาให้พิจารณา ที่ประชุมไม่สามารถพิจารณาได้ เนื่องจากขาดสำนวนที่เป็นรายละเอียด
ด้านนายชินวรณ์กล่าวถึงกรณีมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกฎหมาย ของคุรุสภาที่ให้ตั้งคณะทำงานเพิ่มเพื่อมาว่าดูสำนวนคดีใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาตรวจสอบนานว่า ไม่เป็นไรถ้าคณะอนุกรรมการจะมีมติอย่างนั้น เพราะขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้เดินหน้าเอาผิดอดีตผู้บริหาร มอส.แล้ว ซึ่งตนก็เข้าใจว่าระบบการทำงานของคุรุสภาเป็นแบบนิติบุคล จึงอาจทำให้กระบวนการตัดสินช้าไปบ้าง ทั้งนี้ ตนลงนามตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่มีนายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เป็นประธานอย่างเป็นทางการแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ได้มีการรายงานมาแล้วว่า คณะกรรมการดังกล่าวได้เข้าขอหลักฐานและเอกสารต่างๆ กับสำนักงานคุรุสภาแล้ว
รมว.ศธ. กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีนักศึกษาหลักสูตร ป.บัณฑิต ของ มอส. จำนวน 1,000 ราย มายื่นคำร้องขอความเป็นธรรมกับศาลปกครอง กรณีสำนักงานเลขาฯ คุรุสภาเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพครูนั้น ตนคิดว่าถูกต้องตามสิทธิแล้ว เพราะตามประกาศกระทรวงสิทธิขั้นพื้นฐานของนักศึกษา ที่จะทำการฟ้องร้องต่อผู้กระทำการทุจริต เพื่อให้เป็นแบบอย่างและรักษาสิทธิ์ของตัวเองที่ถูกละเมิด.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก