สิงคโปร์เดินหน้าปฏิรูปการศึกษา ยกเลิกการแยกรูปแบบการเรียนตามสายหลักสูตรพิเศษ-สามัญ-อาชีพ เลิกตีตราว่าใครเก่ง-ไม่เก่ง เปิดโอกาสให้เด็กจัดการเส้นทางตัวเอง
วันที่ 5 มีนาคม 2562 เว็บไซต์สเตรทไทมส์ และแชนแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า นายออง เย กัง (Ong Ye Kung)
รัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาของสิงคโปร์
เผยแผนโยบายปฏิรูปการศึกษาในการประชุมสภา โดยระบุว่า ภายในปี 2667
หรือจากนี้ไปอีก 5 ปี การศึกษาระดับมัธยมศึกษา
จะยกเลิกระบบการให้นักเรียนเลือกแผนการเรียนตามหลักสูตร 3 สาย
ทั้งหลักสูตรเร่งรัด (Express), หลักสูตรปกติสายสามัญ Normal (Academic)
และหลักสูตรปกติสายอาชีพ Normal (Technical) ที่ขึ้นอยู่กับผลการสอบ PSLE
(Primary School Leaving Examination) หรือการสอบวัดผลชั้นประถมศึกษาปี 6
ที่นักเรียนสอบแข่งขันกันทั่วประเทศเพื่อขึ้นชั้นมัธยม
"เราจะไม่ให้ปลาว่ายไปตามกระแสน้ำ 3 สายที่แบ่งแยกจากกัน แต่มันจะเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่หนึ่งเดียว ที่ให้ปลาแต่ละตัวสามารถจัดการเส้นทางของตัวเองได้" นายออง เย กัง กล่าว
โดยแผนใหม่ที่ว่านี้ จะเป็นแผนการศึกษาแบบ Subject-Based Banding (SBB) เริ่มตั้งแต่ปีหน้าใน 25 โรงเรียนมัธยม จะให้เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทุกคน ได้เรียนหลากหลายวิชาเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่การแบ่งวิชาเรียนตามแบบ 3 สายเช่นเดิม โดยเด็กนักเรียนสามารถเลือกเรียนวิชาต่าง ๆ ได้ตามความถนัดและสนใจ หากชอบในวิชานั้น ๆ ก็สามารถเรียนไล่ระดับต่อไปเรื่อย ๆ มีตั้งแต่ G1, G2 ไปจนถึง G3
สำหรับเหตุผลที่ต้องยกเลิกการศึกษาในระบบเดิม นายออง เย กัง ระบุว่า ระบบการศึกษานี้ ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 2523 ซึ่งมีความเป็นกังวลว่ามีเด็กนักเรียนจำนวนมากที่เรียนไม่ไหว ดังนั้น จึงต้องมีการเปลี่ยนระบบการศึกษาในแบบที่จำกัดให้เด็กนักเรียนต้องเลือกสายใดสายหนึ่ง เพราะเมื่อเด็กเรียนไม่ทัน หรือไม่เข้าใจวิชาที่ต้องเรียน พวกเขาก็จะหมดความสนใจ และดรอปการเรียนไปในที่สุด
นายออง เย กัง เผยว่า ตนมั่นใจว่าระบบใหม่นี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนจำนวนมาก ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของเขาในวัยเด็ก เขาเติบโตมาในครอบครัวพูดภาษาจีน ทำให้เขาประสบความยากลำบากในการเรียนภาษาอังกฤษมาโดยตลอด เขาเพิ่งจะสามารถอ่านออกเสียงและสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ตอนประถมศึกษาปีที่ 3 แสดงให้เห็นว่า เด็กแต่ละคนได้รับการดูแลด้านการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกันตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ส่งผลต่อการเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษา ทำให้ไม่มีโอกาสที่สองในการเปลี่ยนการศึกษาของตัวเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือ เด็กบางคนอาจจะสนใจในบางวิชา แต่ไม่มีพื้นฐานที่ดีพอ ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อในวิชานั้น ๆ ได้
นายออง เย กัง กล่าวว่า "เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ล้วนมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นวิถีของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป ดังนั้น ความท้าทายของระบบการศึกษาคือ การจัดหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ นั่นคือจุดประสงค์หลักของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ระบบการศึกษาในโรงเรียนจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น การเรียนรู้ของเด็กนักเรียนสามารถมีการปรับแต่งได้ เพื่อให้พวกเขาเบ่งบานเติบโตได้แตกต่างกัน ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมของพวกเขา เชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น"