โครงงานวิทยาศาสตร์ทดลอง การเขียนตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตร์





การเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์
 
          การเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการเสนอผลงานการดำเนินการเป็นเอกสาร จัดว่าเป็นขั้นตอนสำคัญอีกประการหนึ่งของโครงงาน  เมื่อนักเรียนดำเนินการทำโครงงานจนครบขั้นตอนได้ข้อมูล  ทำการวิเคราะห์ข้อมูล  พร้อมทั้งแปรผล  และสรุปผลแล้ว งานขั้นต่อไปที่ต้องทำคือ การเขียนรายงาน 

          การเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์  เป็นวิธีสื่อความหมายที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง เพื่อให้คนอื่น ๆ ได้เข้าใจแนวความคิด  วิธีดำเนินงานศึกษาค้นคว้าข้อมูล  ผลที่ได้ตลอดจนข้อสรุป และข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น 

          การเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์  ประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้

 1. ชื่อโครงงาน 

          ชื่อโครงงานเป็นสิ่งสำคัญประการแรก เพราะชื่อโครงการจะช่วยโยงความคิดไปถึงวัตถุประสงค์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และควรกำหนดชื่อโครงการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักด้วย    

          การตั้งชื่อโครงงานของนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา นิยมตั้งชื่อให้มีความกะทัดรัดและดึงดูดความสนใจจากผู้อ่าน ผู้ฟัง แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องเข้าใจปัญหาที่สนใจศึกษาอย่างแท้จริง อันจะนำไปสู่การเข้าใจวัตถุประสงค์ของการศึกษาอย่างแท้จริงด้วย เช่น 

          โครงงานวิทยาศาสตร์ ชื่อ "ถุงพลาสติกพิชิตแมลงวันตัวน้อย" ซึ่งปัญหาเรื่องที่สนใจศึกษาคือถุงน้ำพลาสติกสามารถไล่แมลงวันที่มาตอมอาหารได้จริงหรือ จากเรื่องดังกล่าวผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ บางคนหรือบางคณะอาจสนใจตั้งชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ ว่า "การศึกษาการไล่แมลงวันด้วยถุงน้ำพลาสติก" หรือ "ผลการใช้ถุงน้ำพลาสติกต่อการไล่แมลงวัน" ก็เป็นได้ 

          อย่างไรก็ตามจะตั้งชื่อโครงการในแบบใด ๆ นั้น ต้องคำนึงถึงความสามารถที่จะสื่อความหมายถึงวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจน   

 2. ชื่อผู้จัดทำโครงงาน 

          การเขียนชื่อผู้รับผิดชอบโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งดีเพื่อจะได้ทราบว่าโครงงานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของใครและสามารถติดตามได้ที่ใด   

 3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน 

          การเขียนชื่อผู้ให้คำปรึกษาควรให้เกียรติยกย่องและเผยแพร่ รวมทั้งขอบคุณที่ได้ให้คำแนะนำการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จนบรรลุเป้าหมาย   

 4. บทคัดย่อ 

          อธิบายถึงที่มาและความสำคัญของโครงงาน วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ และผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปต่าง ๆ อย่างย่อประมาณ 300-350 คำ 

 5. กิตติกรรมประกาศ (คำขอบคุณ) 

                    ส่วนใหญ่โครงงานวิทยาศาสตร์มักจะเป็นกิจกรรมที่ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ  จึงควรได้กล่าวขอบคุณบุคลากรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยให้โครงงานนี้สำเร็จด้วย    
 
 6. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 

          ในการเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงานวิทยาศาสตร์ ผู้ทำโครงงานจำเป็นต้องศึกษา หลักการทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจจะศึกษา หรือพูดเข้าใจง่าย ๆ ว่าเรื่องที่สนใจจะศึกษานั้นต้องมีทฤษฎีแนวคิดสนับสนุน เพราะความรู้เหล่านี้จะเป็นแนวทางสำคัญในเรื่องต่อไปนี้ 

          - แนวทางตั้งสมมติฐานของเรื่องที่ศึกษา 
          - แนวทางในการออกแบบการทดลองหรือการรวบรวมข้อมูล 
          - ใช้ประกอบการอภิปรายผลการศึกษา ตลอดจนเสนอแนะเพื่อนำความรู้และ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ค้นพบไปใช้ประโยชน์ต่อไป 

          การเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงาน คือ การอธิบายให้กระจ่างชัดว่าทำไม   ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร หากไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไร ซึ่งมีหลักการเขียนคล้ายการเขียนเรียงความ ทั่ว ๆ ไป คือ มีคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป 

          ส่วนที่ 1 คำนำ :
          เป็นการบรรยายถึงนโยบาย เกณฑ์ สภาพทั่ว ๆ ไป หรือปัญหาที่มีส่วนสนับสนุนให้ริเริ่มทำโครงงานวิทยาศาสตร์ 

          ส่วนที่ 2 เนื้อเรื่อง : 
          อธิบายถึงรายละเอียดเชื่อมโยงให้เห็นประโยชน์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยมี หลักการ ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องที่ศึกษา หรือการบรรยายผลกระทบ ถ้าไม่ทำโครงงานเรื่องนี้ 

          ส่วนที่ 3 สรุป :
          สรุปถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามส่วนที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหา ค้นข้อความรู้ใหม่ ค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ให้เป็นไปตามเหตุผลส่วนที่ 1   

 7. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน 

          วัตถุประสงค์ คือ กำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการให้เกิดจากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ในการเขียนวัตถุประสงค์ ต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับชื่อโครงงาน หากมีวัตถุประสงค์หลายประเด็น ให้ระบุเป็นข้อ ๆ การเขียนวัตถุประสงค์มีความสำคัญต่อแนวทาง การศึกษา ตลอดจนข้อความรู้ที่ค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ค้นพบนั้นจะมีความสมบูรณ์ครบถ้วน คือ ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทุก ๆ ข้อ   
 
 8. สมมติฐานของการศึกษา 

          สมมติฐานของการศึกษา เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงาน   ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะทำให้เป็นการกำหนดแนวทางในการออกแบบการทดลองได้ชัดเจนและรอบคอบ ซึ่งสมมติฐานก็คือ การคาดคะเนคำตอบของปัญหาอย่างมีหลักและเหตุผล ตามหลักการ  ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำมาแล้ว   

 9. ขอบเขตของการทำโครงงาน 

          ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องให้ความสำคัญต่อการกำหนดขอบเขตการทำโครงงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนตัวแปรที่ศึกษา 

          1. การกำหนดประชากร และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ การกำหนดประชากรที่ศึกษาอาจเป็นคนหรือสัตว์หรือพืช ชื่อใด กลุ่มใด ประเภทใด อยู่ที่ไหน เมื่อเวลาใด รวมทั้งกำหนด กลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสมเป็นตัวแทนของประชากรที่สนใจศึกษา 

          2. ตัวแปรที่ศึกษา การศึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ ส่วนมากมักเป็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวแปรขึ้นไป การบอกชนิดของตัวแปรอย่างถูกต้องและชัดเจน รวมทั้งการควบคุมตัวแปรที่ไม่สนใจศึกษา เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงานต้องเข้าใจ ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรตาม และตัวแปรใดบ้างเป็นตัวแปรที่ต้องควบคุมเพื่อเป็นแนวทางการออกแบบการทดลอง ตลอดจนมีผลต่อการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง สื่อความหมายให้ผู้ฟังและผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน   

 10. วิธีดำเนินการ 

          วิธีดำเนินการ หมายถึง วิธีการที่ช่วยให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน ตั้งแต่เริ่มเสนอโครงการกระทั่งสิ้นสุดโครงการ ซึ่งประกอบด้วย 

          1. การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา 
          2. การสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล 
          3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 
          4. การวิเคราะห์ข้อมูล 
          ในการเขียนวิธีดำเนินการให้ระบุกิจกรรมที่ต้องทำให้ชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง เรียงลำดับกิจกรรมก่อนและหลังให้ชัดเจน เพื่อสามารถนำโครงการไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง   

 11. ผลการศึกษาค้นคว้า 

          นำเสนอข้อมูลหรือผลการทดลองต่าง ๆ ที่สังเกตรวบรวมได้ รวมทั้งเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ด้วย    

 12. สรุปผลและข้อเสนอแนะ 

          อธิบายผลสรุปที่ได้จากการทำโครงงาน ถ้ามีการตั้งสมมติฐาน ควรระบุด้วยว่าข้อมูลที่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านสมติฐานที่ตั้งไว้  หรือยังสรุปไม่ได้ นอกจากนี้ยังควรกล่าวถึงการนำผลการทดลองไปใช้ประโยชน์ อุปสรรคของการทำโครงงานหรือข้อสังเกตที่สำคัญหรือข้อผิดพลาดบางประการที่เกิดขึ้นจากการทำโครงงานนี้ รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข หากมีผู้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ทำนองนี้ต่อไปในอนาคตด้วย    

 13. เอกสารอ้างอิง 

          เอกสารอ้างอิง คือ รายชื่อเอกสารที่นำมาอ้างอิงเพื่อประกอบการทำโครงงานวิทยาศาสตร์  ตลอดจนการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรเขียนตามหลักการที่นิยมกัน   


ตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตร์

โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง "กรดจากน้ำผลไม้"

จัดทำโดย

          1. นางสาวเยาวรัตน์  ตอสูงเนิน     เลขที่  32
         2. นางสาวสไบนาง  สนิทภักดี     เลขที่  42
            3. นางสาวสุมินตรา   ขวัญถาวร     เลขที่   45

ครูที่ปรึกษาการจัดทำโครงงาน

คุณครูสราวุธ   โครตมา

โรงเรียนภูเขียว

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยภูมิ  เขต 2


กิตติกรรมประกาศ

          โครงงานวิทยาศาสตรื  เรื่อง กรดจากน้ำผลไม้  จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการทดลองหาระดับความเป็นกรดของน้ำผลไม้แต่ละชนิดที่มาผสมกันและทดสอบความสามารถในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกันแล้วนำมาเติมเกลือละลายน้ำว่ามีฤทธิ์ในการขจัดคราบสกปรกของเหรียญหรือไม่  โดยได้รับการสนับสนุนจากท่านคุณครู สราวุธ โครตมา  ครุประจำวิชาและได้รับการสนับสนุนจากผุ้อำนวยการโรงเรียนภูเขียวและขอขอบพระคุณที่ได้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงงานและได้รับความอนุเคราะห์จากพ่อแม่ผู้ปกครองที่ได้ให้ข้อเสนอแนะ  แนะนำเอกสารตำราต่าง ๆ ให้ศึกษาค้นคว้า

          คณะผู้จัดทำ  ขอขอบพระคุณทุกท่านดังที่ได้กล่าวถึงมาข้างหน้าและที่ไม่ได้กล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง

                                                                                                                           คณะผู้จัดทำ


บทคัดย่อ

          โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง กรดจากน้ำผลไม้ การทดลองนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ทดสอบหาระดับความเป็นกรดและความสามารถในการกัดกร่อน โดยแบ่งการทดลองออกเป็น2ตอนดังนี้ คือ ตอนที่ 1 ศึกษาหาระดับค่าความเป็นกรด โดยการนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำสับปะรด น้ำมะนาวผสมกับน้ำส้ม และน้ำสับปะรดผสมกับน้ำส้ม เพื่อทดสอบหาระดับค่าความเป็นกรด ว่าน้ำผลไม้ที่ผสมกันนั้น แบบใดมีค่าความเป็นกรดเรียงลำดับจากค่า และในตอนที่ 2 จะศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกันในตอนที่ 1 โดยการเติมเกลือละลายน้ำลงไปในน้ำผลไม้ที่ผสมกันไว้ทั้ง 3 แบบ แล้วหลังจากนั้นนำเหรียญที่มีคราบสกปรกมาใส่ในน้ำผลไม้ทั้ง 3 แบบ และสังเกตผลการทดลอง


บทที่ 1

บทนำ



ที่มาและความสำคัญของโครงงาน

          ประชาชนส่วนใหญ่นิยมดื่มน้ำผลไม้เพื่อคลายร้อยและกระหาย  บางครั้งก็นำนำผลไม้มาแปรรูปซึ่งเป็นการถนอมอาหารอีกรูปแบบหนึ่งหรือนำมารับประทานแทนของว่างก็ได้  กลุ่มของดิฉันจึงได้นำข้อมุลเหล่านี้มาคุยและปรึกษากันกับสมาชิกภายในกลุ่มว่าเราสามารถนำผลไม้บางชนิดที่มีฤทธิ์ความเป็นกรดมาขจัดคราบสกปรกบนเหรียญได้หรือไม่และถ้าต้องจัดระดับค่าความเป็นกรดเมื่อนำน้ำผลไม้มาผสมกับนั้นจะสามารถเรียงลำดับว่าอับว่าอันไหนมีค่าความเป็นกรดสูงสุดจากข้อสงสัยต่าง ๆ เหล่านี้กลุ่มของดิฉันจึงได้คิดค้นจัดทำโครงงานนี้ขึ้นมา

วัตถุประสงค์

          1. เพื่อศึกษาหาระดับค่าความเป็นกรดของน้ำผลไม้เมื่อนำมาผสมกัน
          2. เพื่อศึกษาว่ากรดจากน้ำผลไม้ที่ผสมแล้วเติมเกลือละลายน้ำลงไปจะมีความสามารถในการขจัดคราบสกปรกหรือไม่
          3. เพื่อศึกษาหาความสามรในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้เมื่อนำเกลือละลายน้ำมาผสม

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

          1. ได้ทราบถึงระดับกรดเมื่อทำการทดสอบจากน้ำผลไม้เมื่อนำมาผสมกัน และเรียงลำดับค่าจากมากไปหาน้อย
          2. ได้ทราบถึงความสามารถในการขจัดคราบสกปรกของน้ำผลไม้ที่ผสมกันแล้วเติมเกลือละลายน้ำลงไปว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำความสะอาดได้จริง
          3. ได้ทราบถึงความสามรถในการการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกับแล้วนำเกลือละลายน้ำมาผสมว่า มีฤทธิ์กัดกร่อนจนสามารถขจัดสกปรกได้

ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า

          1. ศึกษาหาระดับค่าความเป็นกรด ของน้ำผลไม้ที่นำมาผสมกัน
          2. ศึกษาหาความสามารถในการกัดกร่อนของน้ำผลไม้ที่ผสมกัน แล้วเติมเกลือละลายน้ำลงไปและความสามารถในการขจัดคราบสกปรกบนเหรียญ

สมมุติฐานของการศึกษา

          ตอนที่ 1 วัตถุดิบที่นำมาทดลอง มื่อนำมาผสมกันจะทำให้ระดับค่าความเป็นกรดเปลี่ยนไป
          ตอนที่ 2 ระดับค่าความเป็นกรด เมื่อนำเกลือละลายน้ำมาผสมลงไปจะทำให้ความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกได้ดียิ่งขึ้น

ตัวแปร

  ตัวแปรต้น

          ตอนที่ 1 น้ำมะนาว น้ำสับปะรด น้ำส้ม
          ตอนที่ 2 น้ำมะนาว น้ำสับปะรด น้ำส้ม เกลือละลายน้ำ

  ตัวแปรตาม

          ระดับค่า ph ที่วัดได้จากการทดลอง

  ตัวแปรควบคุม

          ตอนที่ 1 ปริมาณน้ำมะนาว ปริมาณน้ำสับปะรด ปริมาณน้ำส้ม
          ตอนที่ 2 ปริมาณน้ำมะนาว ปริมาณน้ำสับปะรด ปริมาณน้ำส้ม ปริมาณเกลือละลายน้ำ


บทที่ 2

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ส้ม


การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

          อาณาจักร    :    Plantae
          ส่วน    :    Magnoliophyta
          ชั้น    :    Magnoliopsida
          ชั้นย่อย    :    Rosidae
          อันดับ    :    Sapindales
          วงศ์    :    Rutaceae
          สกุล    :    Citrus

          ส้ม เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กหลายชนิดในสกุล Citrus วงศ์ Rutaceae มีด้วยกันนับร้อยชนิด เติบโตกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมากจะมีน้ำมันหอมระเหยในใบ ดอก และผล และมีกลิ่นฉุน หากนำใบขึ้นส่องกับแสงแดด จะเห็นจุดเล็ก ๆ เต็มไปหมด ซึ่งจุดเหล่านั้นก็คือแหล่งน้ำมันนั่นเอง ส้มหลายชนิดรับประทานได้ ผลมีรสเปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซียม โปแทสเซียม ไวตามินเอ และไวตามินซี มากเป็นพิเศษ ถ้าผลไม้จำพวกนี้มี มะ อยู่หน้า ต้องตัดคำ ส้ม ออก เช่น ส้มมะนาว ส้มมะกรูด เป็น มะนาว มะกรูด

มะนาว


การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

          อาณาจักร    :    Plantae
          ส่วน    :    Magnoliophyta
          ชั้น    :    Magnoliopsida
          อันดับ    :    Sapindales
          วงศ์    :    Rutaceae
          สกุล    :    Citrus
          สปีชีส์    :    C. aurantifolia
          ชื่อวิทยาศาสตร์    :    Citrus aurantifolia Swing.

          มะนาว (อังกฤษ: lime) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง ผลมีรสเปรี้ยวจัด จัดอยู่ในสกุล ส้ม (Citrus) ผลสีเขียว เมื่อสุกจัดจะเป็นสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบ ๆ ชุ่มน้ำมาก นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย

สับปะรด

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

          อาณาจักร    :    Plantae
          ส่วน พืชดอก    :    Magnoliophyta
          ส่วนไม่จัดอันดับ    :    Angiosperms
          ชั้นไม่จัดอันดับ    :    Monocots
          ชั้น พืชใบเลี้ยงเดี่ยว    :    Liliopsida
          อันดับไม่จัดอันดับ    :    Commelinids
          อันดับ    :    Poales
          วงศ์    :    Bromeliaceae
          วงศ์ย่อย    :    Bromelioideae

          สับปะรด (ชื่อทางวิทยาศาตร์: Ananas comosus) เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ลำต้นมีขนาดสูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร การปลูกก็สามารถปลูกได้ง่ายโดยการใช้หน่อหรือที่เป็นส่วนยอดของผลที่เรียก ว่า จุก มาฝังกลบดินไว้ และออกเป็นผล เปลือกของผลสับปะรดภายนอกมีลักษณะคล้ายตาล้อมรอบผล


บทที่ 3

วิธีดำเนินการโครงงาน


อุปกรณ์และวีธีการทดลอง

          1. วัสดุ
                    1.1  น้ำมะนาว
                    1.2  น้ำสับปะรด
                    1.3  น้ำส้ม
                    1.4  เกลือละลายน้ำ
                    1.5  เหรียญหนึ่งบาท  3  แหรียญ

          2. อุปกรณ์
                    2.1  มีด
                    2.2  แก้วขนาดกลาง  3  ใบ
                    2.3  ชามใบเล็ก  2  ใบ
                    2.4  ช้อน  2  คัน
                    2.5  เขียง
                    2.6  กระดาษลิตมัส

ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน

          1.  ขั้นตอนการเตรียมวัสดุ

                    1.1  นำมะนาว สับปะรดและส้มมาคั้นให้ได้น้ำและกรองเอาตะกอนทิ้ง
                    1.2  นำเกลือมาละลายน้ำละอาดทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที

ขั้นตอนการทดลอง

          ตอนที่ 1 ศึกษาระดับค่าความเป็นกรดของน้ำผลไม้เมื่อนำมาผสมและเรียงลำดับจากค่ามากไปหาค่าน้อย
                    1.1  นำมะนาว  ส้ม  สับปะรด  มาคั้นให้ได้น้ำ
                    1.2 เมื่อได้น้ำผลไม้ทั้ง 3 ชนิด แล้วให้นำมาผสมกันตามสัดส่วนดังนี้
                              1.2.1 นำน้ำสับปะรดไปผสมกับน้ำมะนาว ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากัน
                              1.2.2 นำน้ำส้มไปผสมกับน้ำมะนาว ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากัน
                              1.2.3 นำน้ำส้มไปผสมกับน้ำสับปะรด ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากัน
                    1.3 เมื่อนำไปผสมตามสัดส่วนแล้ว คนให้เข้ากันแล้วทดสอบหาระดับค่าความเป็นกรดด้วยกระดาษลิตมัส
                    1.4 บันทึกผลการทดลองที่ได้ โดยการเรียงลำดับระดับค่าความเป็นกรด จากค่ามากไปหาค่าน้อย

          ตอนที่ 2 ศึกษาหาความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกบนเหรียญ เมื่อนำเกลือละลายน้ำผสมลงไป                                            
                    2.1 ให้นำเกลือละลายน้ำที่ได้ไปผสมกับน้ำผลไม้ในตอนที่1 ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
                    2.2 คนให้เข้ากัน แล้วนำเหรียญที่มีคราบสกปรกใส่ลงไปในน้ำผลไม้ที่ผสมเกลือละลายน้ำไว้
                    2.3 ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
                    2.4 นำเหรียญออกมาล้างน้ำสะอาด เช็ดให้แห้งนำมาเปรียบเทียบกัน แล้วบันทึกผลการ ทดลองที่เกิดขึ้น

บทที่ 4

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล/ผลการจัดทำโครงงาน


ผลการทดลอง


          ตอนที่ 1  ระดับค่าความเป็นกรดของน้ำผลไม้เมือนำมาผสมกันเรียงลำดับจากค่ามากไปหาค่าน้อยเป็นนดังนี้
          ตอนที่ 2  ความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกบนเหรียญเมื่อนำน้ำน้ำเกลือละลายน้ำผสมลงไป

          แก้วที่ 1  น้ำส้ม  +  น้ำมะนาว
          แก้วที่ 2 น้ำมะนาว +  น้ำสับปะรด
          แก้วที่ 3  น้ำส้ม   +  น้ำสับปะรด
          เหรียญหนึ่งบาทที่สกปรกจำนวน  3  เหรียญ
           - เหรียญที่มีสกปรกใส่ในแก้วน้ำผลไม้ผสมเกลือละลายน้ำ
           - เหรียญที่ผ่านการแช่น้ำผลไม้ผสมเกลือละลายน้ำ 30 นาที 


บทที่ 5

สรุปผลและอภิปรายผลการดำนินการจัดทำโครงงาน


จากผลการทดลองสรุป ได้ดังนี้         
    
          1. เมื่อนำน้ำส้มผสมกับน้ำมะนาวจะได้ค่า  pH เท่ากับ  4.0
          2. เมื่อนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำสับปะรดจะได้ค่า  pH เท่ากับ  3.0
          3. เมื่อนำน้ำสมผสมกับน้ำสับปะรดจะได้ค่า  pH เท่ากับ  4.5

          แสดงว่ามื่อนำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำสับปะรดจะพบว่าค่าความเป็นกรดสูงกว่า  น้ำมะนาวผสมกับน้ำส้ม และน้ำส้มผสมกับน้ำสับปะรด  นอกจากนี้เรายังพบว่าเมื่อนำน้ำผลไม้ที่ได้จากการผสมกันดังกล่าวทั้ง 3 ชนิด มาเติมเกลือละลายน้ำลงไปแล้วนำเหรียญที่มีคราบสกปรกใส่ลงไปตั้งเวลาไว้ประมาณ  30  นาที  ภายหลัง  30  นาที นำเหรียญออกมาล้างน้ำสะอาดพบว่าเหรียญที่อยู่ในน้ำผสมไม้ที่มีค่า pH สูงที่สุดมี่ความสะอาดมากที่สุด  เพราะกรดที่เข้มข้นจะมีฤทธิ์การกัดกร่อนมากที่สุดตามลำดับความเข้มข้นของกรด

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการทดลอง

          1. สามารถนำน้ำผลไม้มาทำความสะอาดเหรียญที่มีคราบสกปรกได้
          2. สามารถทราบถึงฤทธิ์ของกรดที่กัดกร่อนคราบสกปรกบนเหรียญได้
          3. สามารถทราบว่าน้ำผลไม้ชนิดใดมีค่าความเป็นกรดมากและมีฤทธิ์การกัดกร่อนไดดีที่สุด

ข้อเสนอแนะ

          1. เราอาจนำน้ำผลไม้ชนิดอื่นที่มีฤทธิ์เป็นกรดที่หาได้ง่ายตามครัวเรือนของคุณ  
          2. เราอาจนำการทดลองนี้ไปทดลองกับสิ่งอื่นๆที่มีคราบสกปรกติดอยู่  เช่น  สร้อยคอ  แหวน พวงกุญแจ


บรรณานุกรม


          หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม เล่ม 4   (เคมี ). กรุงเทพ: 2550
          ตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนอรุโณทัย  จังหวัดลำปาง
          นพ.ประวิตร  พิศาลบุตร.นิตยสารเพื่อสุขภาพ หมอชาวบ้าน (กรดคือ ?) . ฉบับที่  322 : กรุงเทพ:สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน บจก. , 2550
          www.doctor.or.th
          www.google.com

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อาจารย์พรเทพ จันทราอุกฤษฎ์, l3nr.org,   

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
โครงงานวิทยาศาสตร์ทดลอง การเขียนตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตร์ อัปเดตล่าสุด 5 สิงหาคม 2557 เวลา 18:50:02 394,772 อ่าน
TOP
x close