x close

ม.มหิดล ประกาศตั้งเป้าขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก




ม.มหิดลหวังขึ้นระดับโลก (ไทยโพสต์)

            ม.มหิดลประกาศตั้งเป้าขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก และเป็นนัมเบอร์ 1 มหาวิทยาลัยในใจเด็กไทยเลือกเรียน เผยปีนี้ติดอันดับ 28 การจัดอันดับมหาวิทยาลัยในเอเชีย เพราะได้คะแนนงานวิจัยด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ถูกอ้างอิงในวงวิชาการระดับโลกมาก แซงหน้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของมาเลเซีย

            ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อธิการบดี ม.มหิดล กล่าวในวาระครบรอบ 35 ปี ม.มหิดล วิทยาเขตศาลายา ถึงนโยบายและทิศทางใหม่ของ ม.มหิดล ที่มีเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก (World Class University) และเป็นทางเลือกอันดับ 1 ของเด็กไทย (University of Chioce) ซึ่งแม้ว่าปัจจุบัน ม.มหิดลจะเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ โดยในปีนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 1 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชีย ของ Quacquareli Symonds (QS) Asian University Rankings และอยู่ในอันดับที่ 28 ของเอเชีย ซึ่งถือว่าเป็นการเลื่อนขึ้น 2 อันดับจากปีที่แล้วที่อยู่อันดับ 30 แต่การได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นยังไม่ใช่เป้าหมายของ ม.มหิดล เพราะมหาวิทยาลัยมีเป้าหมายที่จะเป็นมหาวิทยาลัยมาตรฐานระดับโลก ควบคู่กับการเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ในใจเด็กไทย

            "การเลื่อนอันดับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติแต่ละมหาวิทยาลัยจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา แต่ในปีนี้เราแซง 2 มหาวิทยาลัยดังของมาเลเซีย และที่อันดับเราพุ่งมาได้ก็เพราะงานวิจัยที่ได้คะแนนมาก มีงานวิจัยด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพของเราหลายชิ้นที่ทั่วโลกนำไปอ้างอิง งานวิจัยในปี 2552 เรามีมากถึง 1,325 ฉบับ มีการอ้างอิงระดับนานาชาติจำนวนมาก เราชนะมาเลเซีย ซึ่งต่อไปเราพยายามปรับปรุงในด้านต่างๆ รักษาจุดแข็งเรื่องงานวิจัยไว้"

            ส่วนการเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ในใจเด็กไทย ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ในความเป็นจริงทุกมหาวิทยาลัยก็อยากมีลูกศิษย์เก่งๆ ม.มหิดลก็เช่นกัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแต่การแข่งขันกันเองกับมหาวิทยาลัยภายใน แต่วันนี้เราเห็นแล้วว่าเด็กเก่งกำลังถูกมหาวิทยาลัยต่างชาติดึงตัวไป อย่างมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ที่มีทุนให้เด็กต่างชาติเก่งๆ จำนวนมาก และมาดึงเด็กเก่งๆ ในไทยไปเรียน ซึ่งหากเป็นการเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ผลงานวิจัยที่ออกมาก็เป็นของประเทศนั้นๆ ไม่ใช่ของประเทศไทย

            นอกจากจุดแข็งด้านวิชาการแล้ว อธิการบดี ม.มหิดล ยังยืนยันว่า ในด้านกายภาพของ ม.มหิดลที่ศาลายาในปัจจุบันถือว่าเป็นแคมปัสที่น่าอยู่มาก เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยมีการปรับปรุงบริเวณมหาวิทยาลัย เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ และน่าอยู่อาศัย "ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเพิ่มพื้นที่การเรียนรู้ใหม่ๆ ได้แก่ Mahidol Learning Center อุทยานแห่งชาติสิรีรุกขชาติ ในพื้นที่ 140 ไร่ ซึ่งเป็นศูนย์ด้านสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมที่จะมี "คอนเสิร์ตฮอลล์" มาตรฐานระดับโลก ที่ทั้งหมดจะแล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า"

            สำหรับทิศทางการจัดการเรียนการสอนในอนาคต ขณะนี้ ม.มหิดลกำลังสร้างนวัตกรรมทางหลักสูตรใหม่ๆ โดยใช้จุดแข็งที่มี เช่น บูรณาการหลักสูตรคณะแพทยศาสตร์และวิทยาลัยดุริยางคศิลป์เข้าด้วยกันในเรื่องดนตรีบำบัด หรือการทำงานของคณะแพทยศาสตร์ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างหลักสูตร medical engineering เป็นต้น

            "สิ่งต่างๆ ที่เราทำถือเป็นการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนไปของโลก การระบาดของ H1N1 และวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นตัวอย่างที่ดี วันนี้ถ้าเราและคนในประเทศไม่รู้เรื่องโรคใหม่ๆ เราก็ตาย นี่คือความเป็นจริงที่เราต้องยอมรับ และเป็นเหตุผลให้เราต้องก้าวสู่มาตรฐานระดับโลกและสร้างความเป็นผู้นำให้เด็กไทยให้เป็นผู้นำในภูมิภาคให้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทิ้งสังคมไทย แล้วองค์ความรู้ที่มีมาตรฐานระดับโลกจะต้องสามารถมาประยุกต์ใช้กับสังคมไทยได้ ทำให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับ อย่างนั้นถึงจะถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างแท้จริง" อธิการบดี ม.มหิดลกล่าว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ม.มหิดล ประกาศตั้งเป้าขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก อัปเดตล่าสุด 4 กันยายน 2553 เวลา 14:32:34
TOP