ศ. ดร.สมภาร พรมทา อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยความรู้สึกหลังมีปมดราม่าไทยพาณิชย์ บอก ผมไม่เคยภูมิใจว่าได้สอนมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แถมยังรู้สึกผิด และคิดว่าควรไปสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ
ยังไม่จบ สำหรับเรื่องราวดราม่าไทยพาณิชย์ ที่แม้ธนาคารไทยพาณิชย์จะออกมาชี้แจงแล้วว่า ข่าวเปิดรับสมัครงานในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินฝึกหัด จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง 14 สถาบันนั้น เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิด เนื่องจากการสื่อสารที่ผิดพลาด แต่กระแสความไม่พอใจก็ยังคงมีต่อเนื่อง
และล่าสุด วันที่ 2 กรกฎาคม 2558 ศ. ดร.สมภาร พรมทา อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ขอแหวกกระแสดราม่าไทยพาณิชย์ ด้วยการโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งค่าสาธารณะ ในประเด็นดังกล่าว ระบุว่า...
อยากพูดเรื่องมหาวิทยาลัยราชภัฏสักหน่อยครับ และที่จะพูดต่อไปนี้ผมประสงค์จะพูดกับผู้บริหารการศึกษาที่ดูแลการศึกษาของชาติเป็นหลัก
หลายปีมานี้ผมมีโอกาสไปช่วยสอนในราชภัฏหลายแห่ง (ขอเรียกสั้น ๆ นะครับ) ที่ไปสอนนี้ ไปสอนพิเศษในหลักสูตรที่สูงกว่าปริญญาตรี การได้ไปรู้จักครูบาอาจารย์ตลอดจนนักศึกษาราชภัฏให้ภาพบางอย่างในใจของผมที่นับวันก็รุนแรงเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพแรก คือ ความดิ้นรนของชาวราชภัฏที่จะพัฒนาตนให้ทัดเทียมมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่ราชภัฏ ความดิ้นรนของคนที่ถูกมองว่า อยู่ต่ำกว่าเขานี่ผมรักมาก
นี่คือเหตุผลที่ผมได้ปวารณาตัวแก่ราชภัฏเท่าที่ผมรู้จักว่าผมยินดีมาช่วยเต็มกำลัง หากสุขภาพยังแข็งแรง เวลานี้มีนักศึกษาปริญญาเอกของราชภัฏหลายคนติดต่อเขียนจดหมายมาปรึกษาผมในการทำวิทยานิพนธ์อยู่ต่อเนื่อง อันเป็นเรื่องที่ผมยินดีช่วยเหลือตามที่ปวารณา
ราชภัฏเกิดตามธรรมชาติเหมือนโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนบ้านนอกที่เกิดตามธรรมชาติ สังคมนั้นจัดการแยกชั้นของผู้คนเองคนมีเงินก็มีโอกาสมากกว่า นักศึกษาราชภัฏนั้นคือเด็กที่ด้อยโอกาส เพราะเกิดนอกเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ หรือหากเกิดในเมืองก็มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี แม้หัวพอไปได้ก็ย่อมสู้ลูกหลานคนมีเงินที่สติปัญญาพอ ๆ กันไม่ได้
ผมสอนจุฬาฯ ผมไม่เคยภูมิใจว่าได้สอนมหาวิทยาลัยชั้นนำเลย ตรงข้าม กลับรู้สึกว่าตนผิด ผมควรไปสมัครเป็นอาจารย์ราชภัฏ แต่ผมก็ไม่ทำ
ที่พูดมานี้ผมต้องการให้ผู้บริหารการศึกษามองราชภัฏอย่างคนมีความรู้ทางสังคมวิทยาบ้าง ผมเห็นกรรมการที่ตั้งไปจากมหาวิทยาลัยอย่างจุฬาฯ ไปไล่บี้ราชภัฏเวลาตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาแล้วเศร้าใจ
เหมือนอาจารย์ที่จบจากเมืองนอกพูดฝรั่งคล่อง ไปตรวจเด็กประถมที่โรงเรียนบ้านโนนหินแห่ แล้วตกใจจะเป็นลมเมื่อลองให้เด็กพูดอังกฤษให้ฟัง เด็กมันจะพูดได้อย่างไรครับ และที่พูดไม่ได้ก็ไม่ใช่ความผิดของใครด้วย ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เราควรเห็นใจ เข้าใจ พยายามคิดหาทางช่วย ไม่ใช่ไปไล่บี้เขา
แค่เห็นใจแล้วคิดช่วยอะไรก็คงพอไปได้ และดีวันดีคืน เพื่อให้เห็นตัวอย่างว่าผมไม่ใช่สักแต่พูด ผมขอเสนอให้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกระเบียบต่อไปนี้
1. อาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐถือเป็นสมบัติชาติ ดังนั้นต้องย้ายที่ทำงานได้ เช่นย้ายผมจากจุฬาฯ ไปราชภัฏบุรีรัมย์ได้ แล้วย้ายอาจารย์จากบุรีรัมย์มาที่จุฬาฯ ได้เช่นกัน
2. การย้ายอาจมีผลต่อการพัฒนาวิชาการโดยรวมได้ ดังนั้น การย้ายควรทำหลังจากที่อาจารย์ได้รับการประเมินตำแหน่งทางวิชาการแล้ว เช่นเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่จุฬาฯ แล้วอยู่จุฬาฯ เกินสามปีไม่ได้ ต้องย้าย
3. ทำได้อย่างนี้จะเกิดความเสมอภาคทางการศึกษา พ่อแม่เด็กก็จะเลิกกลุ้มใจหาที่เรียนให้ลูก เรียนที่ไหนไม่ต่างกัน
ลองดูไหมครับ ไม่ต้องกลัวว่าการศึกษาชาติจะตกต่ำ ผมไปอยู่ราชภัฏแล้วสติปัญญาผมจะด้อยลงหรือ อยู่ไหนผมก็คิดและทำงานวิชาการได้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พุทธ เชิง "แม่"
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก